เทศกาลกินเจเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และมีสีสันที่สุดเทศกาลหนึ่งของประเทศไทย ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาร่วมงานที่จัดขึ้นปีละครั้ง หัวใจของประเพณีถือศีลกินเจนี้ก็เพื่อชำระล้างกายและใจ ซึ่งเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
เมื่อการเดินทางได้เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตมากขึ้น นักท่องเที่ยวจึงเริ่มเข้าใจถึงพลังของการใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไป และใช้เวลาว่างค้นหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต แนวคิดเช่นนี้ยังสะท้อนให้เห็นในสไตล์การท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป จากที่เที่ยวแบบเก็บแต้ม ก็เริ่มหันมาดื่มด่ำกับช่วงเวลา "ผ่อนคลาย" และอยากที่จะสัมผัสกับประสบการณ์ตรงหน้าอย่างแท้จริง
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเริ่มเป็นที่พูดถึงในประเทศไทย เกิดการตระหนักรู้ถึงการท่องเที่ยวอย่างมีขอบเขตที่จะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่นให้น้อยที่สุด จิตสำนึกต่อสังคมที่มีทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้พยายามท่องเที่ยวในแบบ "เกื้อกูล" ทั้งต่อชุมชนและสถานที่ที่ตนไปเยือน ไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นเขาหรือการเลือกทานอาหารสดใหม่จากไร่ เพื่อส่งเสริมผลิตผลในท้องถิ่น
เชื่อกันว่าเทศกาลกินเจจัดขึ้นครั้งแรกที่เกาะภูเก็ตในปีพ.ศ. 2368 และแผ่ความนิยมไปยังจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้ทั้งพังงา ตรัง สงขลา และระนอง แม้กระทั่งเมืองศิวิไลซ์อย่างกรุงเทพก็ไม่เว้น ปัจจุบันงานกินเจกลายมาเป็นประเพณีที่ใหญ่ที่สุดของเกาะภูเก็ต ซึ่งปีนี้จะมีขึ้นในวันที่ 9 - 17 ตุลาคมนี้
เมื่อก่อนคนมองกันว่างานเทศกาลกินเจเป็นเทศกาลสำหรับกลุ่มผู้ศรัทธาเท่านั้น แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป มีคนสนใจเข้าร่วมงานนี้กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือคนในท้องถิ่น ซึ่งในช่วงเวลา 9 วันนี้คุณจะได้ท้าทายตัวเองให้ละเว้นจากการกินเนื้อสัตว์ ซึ่งจะยิ่งทวีความท้าทายหากต้องเดินทางในระหว่างช่วงเทศกาลนี้
Airbnb มีเคล็บลับการเดินทางในช่วงเทศกาลกินเจ ที่จะช่วยให้คุณได้สนุกเพลิดเพลินไปพร้อม ๆ กับการชำระล้างจิตใจ
1. บ้านแนวอีโค พื้นที่เขียวใกล้เมืองกรุง
ถ้าอยากสูดอากาศสดชื่น ชื่นชมดอกไม้และใบหญ้า แต่ชอบแสงสีศิวิไลซ์ละก็ ไม่ต้องไปไหนไกลเลย เพลิดเพลินกับชีวิตแบบเนิบนาบกันได้ที่คุ้งบางกระเจ้า สถานที่ "ฟอกปอด" ของคนกรุงเทพ ซึ่งนอกจากจะดีต่อใจแล้วยังดีต่อสุขภาพด้วย ที่พักของที่นี่เป็น บ้านส่วนตัวแนวอีโค 3 ชั้น (https://www.airbnb.com.sg/rooms/3035362?s=EgcBKeym)เหมาะกับคนที่ชอบอะไรไม่เหมือนใคร และอยากเดินหรือขี่จักรยานสำรวจบางกระเจ้าไปตามสะพานไม้ เลือกได้ว่าจะอยู่ห้องหิ่งห้อย มด ผีเสื้อ หรือผึ้ง จากนั้นก็พักผ่อนหย่อนใจให้สงบและปฏิบัติตามข้อห้าม 10 ข้อในเทศกาลกินเจ
2. หาอาหารด้วยตัวเอง
ตอนนี้ใคร ๆ ก็หันมาดูแลสุขภาพกันทั้งนั้น อะไรจะดีไปกว่าการได้เที่ยวไปพร้อม ๆ กับเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราทานนั้นมาจากไหน นี่ล่ะการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แทรนด์ใหม่ล่าสุดที่ดีเหมาะกับสายเฮลตี้ ลองพักที่ Airbnb ฟาร์มสเตย์ (https://www.airbnb.com.sg/rooms/27030872?location=Chiang%20Mai%20Thailand&s=iAxgz67R)และเรียนรู้วิธีปลูกผักสลัดและผลไม้ไฮโดรโปนิกส์อย่างสตรอว์เบอร์รี นำเคล็ดลับที่ได้กลับไปใช้ที่บ้าน ลองปลูกผักเอง ทุกวันของคุณจะได้ทาน "อาหารสดใหม่จากไร่" จากไร่ของคุณเอง
หรือจะเลือกเข้าร่วมประสบการณ์ Airbnb ที่จะพาคุณไปสัมผัสกับ การทำการเกษตรแบบถาวรพร้อมกับรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป ( https://bit.ly/2IMqr8l ) เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการทำฟาร์มแนวนี้และวิธีปลูกผักผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพ ประสบการณ์นี้จัดเป็นประสบการณ์เพื่อสังคม รายได้ทั้งหมด 100% ที่ได้รับจะนำไปมอบให้กับมูลนิธิ Permaculture Children's House
3. มุ่งหน้าขึ้นเขา
เชียงใหม่ เมืองหลวงของภาคเหนือ มีทั้งร้านอาหารมังสวิรัติและวีแกนที่พร้อมต้อนรับคนที่ถือศีลกินเจในช่วงเทศกาล หลีกหนีสิ่งยั่วยวนใจและความคิดฟุ้งซ่าน ไปพักผ่อนจิตใจกันที่ บ้านต้นไม้ทั้งหลัง (https://th.airbnb.com/rooms/2740649?s=17HjfAYs) หรือ เชียงใหม่ล้านนา ซันไร้ส์ โฮมสเตย์ (https://th.airbnb.com/rooms/6647647?s=17HjfAYs ) มุ่งหน้าขึ้นเขาไปเรียนรู้ วิธีทอผ้ากับชาวเขา ทำความรู้จักและสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง หรือจะเลือกเข้าป่าเดินเขา เพื่อใกล้ชิดกับธรรมชาติ และพบกับชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซึ่งความหลากหลายทางชาติพันธุ์นี่เองที่ทำให้ภาคเหนือของประเทศไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะ
Airbnb ยังได้ร่วมมือกับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนให้พร้อมมอบประสบการณ์แสนพิเศษแก่นักท่องเที่ยว สนับสนุนให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมีอำนาจต่อรอง และกระจายรายได้จากการท่องเที่ยว
HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit