นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี รองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด (TSMC) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาล มีความกังวลต่อปัญหาการขาดสภาพคล่องในการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับปริมาณผลผลิตอ้อยเข้าหีบฤดูการผลิตปี 2561/62 เนื่องจากในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐยังไม่ได้ประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายของฤดูการผลิตปี 2560/61 ซึ่งตามกฎหมายสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) จะต้องคำนวณราคาอ้อยขั้นสุดท้ายภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยคาดว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายในฤดูการผลิตปีนี้จะต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นที่ประกาศไว้อยู่ที่ 880 บาทต่อตันอ้อย ซึ่งผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลจะได้ดำเนินการขอรับเงินส่วนต่างคืนจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อนำมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
จากการประเมินเงินส่วนต่างดังกล่าว คาดว่าโรงงานน้ำตาลจะได้รับเงินชดเชยส่วนต่างราคาอ้อยขั้นต้นที่ได้จ่ายสูงเกินกว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายไปก่อนแล้ว ประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาท ไม่รวมเงินชดเชยในส่วนผลตอบแทนการผลิตที่โรงงานน้ำตาลจะได้รับอีกประมาณ 5,500 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 22,000-23,000 ล้านบาท จากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ซึ่งโรงงานจะได้นำเงินดังกล่าวมาใช้เสริมสภาพคล่องรองรับผลผลิตอ้อยเข้าหีบในฤดูการผลิตปี 2561/62 เพื่อช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ได้รับผลกระทบจากราคาตลาดโลกที่ตกต่ำ ส่งผลต่อราคาอ้อยขั้นต้นของฤดูการผลิตปีนี้จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 700 บาทต่อตันอ้อย
"เรากำลังรอเงินส่วนต่างจากราคาอ้อยขั้นต้นและขั้นสุดท้ายของปีนี้ เพื่อนำมาใช้หมุนเวียนในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในรอบการผลิตปี 2561/62 หากหน่วยงานภาครัฐประกาศราคาขั้นสุดท้ายได้เร็วจะยิ่งดีมาก เพราะเป็นเงินที่โรงงานน้ำตาลที่ออกไปก่อนแล้ว ต้องไปทำเรื่องขอรับคืน เพื่อนำมาใช้เสริมสภาพคล่องและใช้จ่ายให้แก่ชาวไร่ที่จะส่งมอบผลผลิตอ้อยเข้าหีบ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 120-125 ล้านตันอ้อย" นายสิริวุทธิ์ กล่าว
รองประธานคณะกรรมการบริหาร TSMC กล่าวว่า ส่วนแนวทางให้ความช่วยเหลือชาวไร่อ้อย ตันอ้อยละ 50 บาท ไม่เกินรายละ 5,000 ตัน ตามมติ ครม. นั้น สอน. อยู่ระหว่างจัดทำวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินดังกล่าว หากสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือได้โดยเร็ว ชาวไร่อ้อยก็จะได้นำไปซื้อปัจจัยการผลิตต่อไปและช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ชาวไร่อ้อยในปีนี้ที่ราคาอ้อยตกต่ำ
ส่วนการช่วยเหลืออีกส่วนหนึ่งผ่านกลไกของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย โดยให้นำเงินส่วนต่างระหว่างราคาสำรวจน้ำตาลที่ขายภายในประเทศ กับราคาตลาดลอนดอนบวกพรีเมี่ยมน้ำตาลไทย ที่โรงงานต้องส่งมอบให้แก่กองทุนฯ เป็นประจำทุกเดือน เพื่อนำมาช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ชาวไร่ก่อนนั้น หากให้โรงงานน้ำตาลสำรองจ่ายไปก่อนแล้วจะกระทบกับสภาพคล่องทางการเงิน อีกทั้งโรงงานน้ำตาลต้องเจรจากู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์มาใช้เพื่อการนี้ซึ่งจะต้องมีภาระดอกเบี้ย และที่สำคัญขึ้นอยู่การพิจารณาของธนาคารพาณิชย์ที่จะให้กู้ด้วย
"ในกรณีที่โรงงานต้องสำรองไปก่อน แล้วยังต้องนำส่งเงินส่วนต่างของราคาขายน้ำตาลส่งให้แก่กองทุนฯ เต็มจำนวนแล้วไปรับคืนในภายหลังนั้น สภาพคล่องทางการเงินของโรงงานจะเพียงพอหรือไม่ หรือหากต้องกู้เงินก็จะมีภาระดอกเบี้ย และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น" นายสิริวุทธิ์ กล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit