เช้าวันนี้ (31 ตุลาคม) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ประสานงานนำนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่จำนวน 500 คน ร่วมจัดกิจกรรม "นักวิทย์รุ่นใหม่ นำไทยไปด้วยกัน" เพื่อยื่นสมุดปกขาวการวิจัยขั้นแนวหน้า ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความพร้อมนำศักยภาพนักวิทย์รุ่นใหม่ กำหนดอนาคตไทย ก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีตัวแทนนักวิทย์ 5 คนประกอบไปด้วย ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ดร.วศะพร จันทร์พุฒ นพ.ประสิทธิ์ เผ่าทองคำ และ ดร.พินิจ กิจขุนทด นำเสนอรายละเอียดของสมุดปกขาว โดยระบุว่า การขับเคลื่อนเพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ภายในระยะเวลา 20 ปี นั้น เป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศ เนื่องจากต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและนวัตกรรม การแข่งขันอย่างรุนแรงในเวทีโลก และต้องเตรียมความพร้อมประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัย ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งสำคัญ และการจะยกระดับประเทศที่สู่ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยวัตกรรมตามนโยบายประเทศไทย 4.0 การวิจัยขั้นแนวหน้าที่จะทะลุทะลวงไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมประเทศ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลต้องสนับสนุนอย่างจริงจัง
ทั้งยังเห็นว่า ประเทศไทยมีจุดเด่นทางทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ของโลก มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร อีกทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ส่งบุคลากรที่มีศักยภาพไปเรียนรู้วิทยาการและความก้าวหน้าในต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบันมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ระดับปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยระดับโลก ที่ต่างมีประสบการณ์ในการทำงานวิจัยขั้นแนวหน้าระดับโลกมาแล้วจำนวนกว่า 5,000 คน ที่ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยของรัฐ และเอกชนทั่วประเทศ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเกิดมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย อุทยานวิทยาศาสตร์ ห้องแล็บสมัยใหม่ที่เทียบเคียงได้กับหลายประเทศผู้นำในภูมิภาค รวมถึงไทยยังมีระบบนิเวศน์ที่เอื้อต่อการวิจัยและพัฒนาที่มีความพร้อมมาก
"หากภาครัฐมีการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากความรู้ ความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ไทย ในรูปแบบที่เอื้อต่อการนำพาประเทศสู่ระดับโลกอย่างแท้จริง จะทำให้ประเทศไทยก้าวกระโดดสู่ระดับโลกได้อย่างไม่ยาก การรวมตัวของนักวิทย์รุ่นใหม่ ในวันนี้ จึงเป็นเสมือนการมารวมพลังแสดงความพร้อมที่จะใช้ศักยภาพของแต่ละคนที่เชี่ยวชาญแต่ละสาขามากำหนดอนาคตประเทศ ผ่านการเสนอสมุดปกขาวการวิจัยขั้นแนวหน้า หรือ Frontier Research พร้อมได้วางกลยุทธ์กำหนดโจทย์วิจัยให้กับประเทศ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. อาหารเพื่ออนาคต 2. การแพทย์และสาธารณสุขขั้นแนวหน้า 3. พลังงานแห่งอนาคต และ 4. การป้องกันภัยคุกคาม/รับมือความเสี่ยง และสร้างโอกาสในอนาคต โดยนักวิทย์รุ่นใหม่ได้ระดมสมองร่วมกันว่า เป็นโจทย์วิจัยที่จำเป็นและสำคัญต่อประเทศ และสามารถต่อยอดไปสู่ระดับโลกได้ หากรัฐบาลให้การสนับสนุน" ตัวแทนนักวิทย์ฯ ระบุ
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า ไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วได้ โดยไม่มีฐานเทคโนโลยีเป็นของตนเอง ประเทศไทยจึงต้องยกระดับความสามารถของประเทศให้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวทันโลกให้ได้ โดยต้องเร่งสร้างความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยใช้สิ่งที่มีเพื่อสร้างคุณค่า และโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาประเทศ การดำเนินการวิจัยขั้นแนวจึงเป็นความท้าทายของประเทศที่จะต้องอาศัยพันธะทางนโยบาย การสนับสนุนจากรัฐบาลและฝ่ายการเมืองที่จะสร้างประเทศในระยะยาว จึงต้องวางแผนงานด้านการลงทุนและงบประมาณเพื่อให้ไปสู่การสร้างอนาคตของประเทศอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนนักวิทย์ฯ เห็นสอดคล้องกันว่า แม้ผลปลายทาง ที่เสนอในวันนี้ จะเป็นเป้าอีกไกล แต่เชื่อว่าผลงานวิจัยระหว่างทางจะสามารถนำมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์เป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ตลอดทางที่ทำ ในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ยืนยันว่าเรามีความพร้อม และมีความมั่นใจที่จะก้าวไปกับรัฐบาลและภาคประชาชน เพื่อผลักดันให้ประเทศของเราเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยงานวิจัยขั้นแนวหน้า ตามที่พวกเราทุกคนได้คาดหวังไว้ แต่เราจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องขอให้รัฐบาลสนับสนุนเราอย่างน้อย 2 ข้อ คือ 1. งานวิจัย Frontier Research เป็นงานวิจัยที่คาดหวังผลในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีเงินลงทุนที่มากพอและมีความต่อเนื่อง 2. การจัดสรรด้านการบริหารงานวิจัยวิทยาศาสตร์ ควรจะมองที่ความเป็นเลิศของงานวิทยาศาสตร์เป็นหลัก หากรัฐให้การสนับสนุน วงการวิทยาศาสตร์ก็พร้อมจะก้าวไปไปข้างหน้า เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์ของโลกได้
ด้านนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การกำหนดโจทย์วิจัยต้องศึกษาจากอดีตที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นเดิมได้ทำไว้ และต่อยอดสู่อนาคตแบบไร้รอยต่ออย่างเป็นรูปธรรม ตอบโจทย์กรอบยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้านของรัฐบาล เชื่อว่าหากทำได้จะทำให้ประเทศไทยจะก้าวสู่ประเทศที่มีรายได้สูง สินค้ามีมูลค่าเพิ่ม และนำรายได้เหล่านั้นกลับมาพัฒนาประเทศได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีย้ำว่า การทำวิจัยแม้เราจะมองไปที่อนาคต แต่ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังด้วย
"รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทุกการวิจัยหากเป็นสิ่งที่จำเป็นของประเทศ นักวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ทุกคนล้วนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อประเทศ ผมให้เวลา 5 ปี สำหรับงานวิจัยที่ต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว นำไปสู่ผลผลิตที่เป็นรูปธรรม มีตัวเลขที่สามารถวัดได้ และตอบได้ว่าประชาชนได้อะไรจากงานวิจัย ผมเชื่อว่า วิทยาศาสตร์คือสิ่งเดียวที่จะพลิกประเทศได้" นายกรัฐมนตรี กล่าว
HTML::image( HTML::image( HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit