เงินกองทุนดังกล่าวได้มาจากโปรแกรมการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ (CBI) ที่ริเริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2527 โดยนักลงทุนจะได้รับสัญชาติเซนต์คิตส์และเนวิสเมื่อลงทุนในเศรษฐกิจของประเทศ และหนึ่งในนั้นก็คือการลงทุนในกองทุนฟื้นฟูผู้ประสบภัยจากพายุเฮอร์ริเคน ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มระยะ 6 เดือนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนที่ต้องการสนับสนุนประเทศให้ผ่านพ้นฤดูพายุเฮอริเคนที่ท้าทาย
หลังจากประสบความสำเร็จในการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูผู้ประสบภัยจากพายุเฮอร์ริเคน นายกรัฐมนตรีทิโมธี แฮร์ริส ก็ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth Fund หรือ SGF) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น ตลอดจนพัฒนาโครงการทางเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ เพื่อประโยชน์ของประชาชน
พอล ซิงห์ ผู้อำนวยการ CS Global Partners บริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมายระหว่างประเทศชั้นนำที่เชี่ยวชาญด้านการขอสัญชาติและการพำนัก กล่าวว่า "นักลงทุนจำนวนมากต้องการมีส่วนร่วมในกองทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้การขอสัญชาติเซนต์คิตส์และเนวิสเป็นไปอย่างรวดเร็วและคุ้มค่า" ทั้งนี้ กองทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนกำหนดให้ลงทุน 150,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน หรือ 195,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อครอบครัว 4 คน จึงดึงดูดครอบครัวใหญ่ที่ต้องการความมั่นคง รวมถึงนักธุรกิจที่ต้องการเดินทางอย่างสะดวกสบายไปยังกว่า 150 ประเทศและดินแดนทั่วโลก เช่น เขตเชงเก้น รวมถึงศูนย์กลางธุรกิจอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง และลอนดอน
เซนต์คิตส์และเนวิสโดดเด่นในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับนานาประเทศ ซึ่งความพยายามดังกล่าวก็ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เห็นได้จากดัชนีการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ (CBI Index) ที่เผยแพร่โดยนิตยสาร Professional Wealth Management ในเครือ Financial Times ที่ระบุว่า โปรแกรมการลงทุนเพื่อขอสัญชาติของเซนต์คิตส์และเนวิส ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานระดับแพลทินัมของอุตสาหกรรม คว้าอันดับ 1 มาครองอย่างภาคภูมิ เนื่องจากกระบวนการขอสัญชาติ การเดินทาง เงื่อนไขการพำนัก และการตรวจสอบสถานะไม่ยุ่งยากซับซ้อน
ขณะที่ความวุ่นวายทางการเมืองก่อให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้นทั่วโลก แนวคิดการถือสองสัญชาติผ่านการลงทุนจึงเป็นทางออกที่ดีทั้งสำหรับชาวเซนต์คิตส์และเนวิสรวมถึงพลเมืองที่ได้สัญชาติผ่านการลงทุน
ติดต่อ: [email protected]
ที่มา: CS Global Partners
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit