นายแพทย์นพวุฒิ ตรีพรชัยศักดิ์ จักษุแพทย์แห่งศูนย์รักษาตาท็อปเจริญ เปิดเผยว่า "เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคม American Optometrist Associations เผยถึงความกังวลว่า ผลกระทบระยะยาวที่เกิดขึ้นจากการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล ซึ่งโดยเฉลี่ยมีการใช้โทรศัพท์มือถือ 7 ชั่วโมงต่อวัน และพบว่าในเด็กอายุ 10-12 ปี เกือบ 50% มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเอง และใช้อุปกรณ์เหล่านี้มากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน และยังพบปัญหาอีกว่า 60% บ่นว่ามีอาการตาล้า ตาแห้ง ปวดตา ตาพร่ามัวจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล และยังเป็นผลทำให้คนมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการระคายเคืองของดวงตา ปวดหัว ปวดตา และตามัวลงแบบถาวรได้ถ้าไม่รีบป้องกัน เนื่องจากเกิดภาวะกล้ามเนื้อตาล้ามากเกินไปอาจทำให้ตาอ่อนแรงและอักเสบได้ หรือแม้กระทั่งแสงสว่างที่จ้องมองนานๆ โดยเฉพาะแสงสีฟ้าจากจอสมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถผ่านเข้าตาส่วนลึกคือบริเวณจอตา ทำให้เกิดผลเสียต่อจอตาได้เป็นอย่างมาก เพราะแสงสีฟ้าจะถูกดูดซึมโดยชั้น RPE (retinal pigment epithelium) โดยมีปฏิกิริยาเกิดโมเลกุลพิษไปทำร้ายเซลล์รับภาพในจอตา (photoreceptor cell) ทำให้เซลล์รับภาพตายลงในที่สุด"
การใช้ชีวิตอยู่กับอุปกรณ์ดิจิทัลมากเกินไป จึงไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อสายตาเป็นอย่างมาก อันได้แก่ 1. ภาวะตาล้า เกิดขึ้นเมื่อดวงตาอ่อนล้าจากการใช้งานหนัก เช่น คุยแชท ดูหนังเป็นเวลานานๆ การอ่านตัวหนังสือที่มีขนาดเล็กมากเกินไป โดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้จะหายเองเมื่อได้พักสายตา แต่บางครั้งก็อาจเกิดภาวะรุนแรงกับดวงตาเพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้ 2. ตาเพ่งมองระยะใกล้ค้าง เกิดจากภาวะความผิดปกติของสายตาที่ไม่สามารถรับแสงหักเหจากวัตถุที่มาโฟกัสตรงจอตาได้อย่างพอดี ส่งผลให้มองเห็นวัตถุดังกล่าวไม่ชัด ต้องจ้องหรือเพ่งมองใกล้ๆ หรี่ตา ซึ่งอาจนำไปสู่การปวดกระบอกตารุนแรง เกิดภาวะสายตาสั้นเทียม หรือพบการเปลี่ยนแปลงสายตาที่สั้นเพิ่มเร็วขึ้นในเด็ก 3. ความสว่างหน้าจอ โดยเฉพาะการใช้สมาร์ทโฟนในที่มืดหรือแสงสว่างน้อยจะทำให้มีอาการปวดตาหรือปวดศีรษะ เนื่องจากรูม่านตาที่คอยปกป้องดวงตาจะทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เป็นผลให้เกิดอาการ ตาพร่ามัวเป็นเงาดำ ปวดตา แสบตา รวมทั้งตาแดงได้ และไม่เฉพาะเจาะจงที่สมาร์ทโฟนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ทีวีหรืออุปกรณ์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง ก็สามารถบั่นทอนศักยภาพในการเติบโตของสมองและเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางสายตา ปวดต้นคอ หลังและไหล่ หรือโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (computer vision syndrome) ได้เช่นกัน
นายแพทย์นพวุฒิ กล่าวเสริมว่า เนื่องในวันที่ 11 ตุลาคม 2561 นี้ ตรงกับ วันสายตาโลก (World Sight Day2018) แว่นท็อปเจริญ จึงขอรณรงค์เพื่อเชิญชวนทุกคนหันมาดูแลสายตาและสุขภาพดวงตาของตนเอง หยุดพฤติกรรมเดิมๆ ด้วยการลดแชท ละจอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อให้สายตาได้พักเพิ่มมากขึ้น เปลี่ยนวิธีการคุยแชทผ่านสมาร์ทโฟนมาเป็นการนั่งคุยกัน นัดประชุมงานร่วมกัน หรือนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน และหากหลีกเลี่ยงจอไม่ได้ให้พยายามหาเวลาพักสายตาด้วยการมองออกไปไกล 20 เมตร นาน 20 วินาที ทุกๆ 20 นาที หลีกเลี่ยงการใช้สายตาในที่ที่มีแสงสว่างไม่เหมาะสมหรือมีแสงสะท้อนมาก และหากอยู่กลางแสงจ้าติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ควรสวมแว่นกันแดดที่มีคุณภาพป้องกันแสง UV เข้าสู่ดวงตาได้จริง สำหรับคนที่สวมแว่นควรเลือกใช้เลนส์ที่เหมาะกับค่าสายตาของตัวเอง โดยหมั่นตรวจวัดสายตาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้เลนส์สำหรับประกอบแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ที่ตรงกับค่าสายตาของตัวเองมากที่สุด ควรพักสายตาจากการทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือจากการอ่านหนังสือเป็นระยะๆ เพื่อเลี่ยงอาการผิดปกติทางสายตาต่างๆ ตลอดจนควรหมั่นสังเกตว่ามีอาการอื่นๆ เช่น มองไม่ชัดกะทันหัน ตามัว ปวดตา ตาแดง มีจุดดำลอยไปมา เป็นต้น เนื่องจากอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตราย หากเกิดอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ทันที
ทั้งนี้ บุคคลทั่วไปยังสามารถขอเข้ารับบริการตรวจวัดสายตาและสุขภาพดวงตาฟรี โดยหมอสายตาหรือนักทัศนมาตร(Doctor of Optometry) และทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาระดับมืออาชีพที่ร้านแว่นท็อปเจริญทุกสาขาใกล้บ้านคุณ พร้อมติดตามรายละเอียดโครงการแว่นตาเพื่อสังคมอื่นๆ ที่จัดขึ้นโดยแว่นท็อปเจริญ ทั้งโครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ โครงการแว่นตาเพื่อน้อง โครงการแว่นตาเพื่อพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้ และโครงการอื่นอีกๆ มากมาย ได้ที่ Facebook.com/TopCharoenOpticalOfficial เว็บไซต์ www.topcharoen.co.th ไลน์ @top_charoen หรือโทร. 02–612–4170
"ดวงตาของเรามีแค่คู่เดียว...จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดูแลไว้ให้ดีที่สุด"
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit