นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า ตามที่ กนอ. มีนโยบายพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) เพื่อเป็นนิคมฯ แปรรูปยางพาราแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุด บนพื้นที่ 1,218 ไร่ ภายในนิคมฯ ภาคใต้ จ.สงขลา นั้น ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพัฒนาและมีความคืบหน้าไปแล้วมากกว่า 80 เปอร์เซนต์ ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จ คาดจะสามารถรองรับกลุ่มอุตสาหกรรม Cluster ยางพาราครบวงจร อาทิ อุตสาหกรรมนวัตกรรมยาง อุตสาหกรรมจากน้ำยางข้น อุตสาหกรรมยางคอมพาวด์ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องยางพารา เป็นต้น และคาดว่าจะมีความต้องการใช้ยางพาราในพื้นที่เพิ่มขึ้นจาก 30,000 ตันต่อปี เป็น 200,000 ตัน ต่อปี รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการศึกษา วิจัย ต่อยอดและเสริมสร้างศักยภาพให้กับธุรกิจอย่างครบวงจร โดยเฉพาะโอกาสจากการเป็นจุดยุทธศาสตร์ในระเบียงเศรษฐกิจด้านยางพารา (Rubber Corridor) ภายใต้ความร่วมมือเศรษฐกิจสามฝ่าย IMT -GT ( Indonesia – Malaysia – Thailand Growth Triangle) ซึ่งจะเป็นประตูสู่ประชาคมอาเซียนและระดับโลกต่อไป
นอกจากนี้ กนอ.ยังได้แบ่งพื้นที่ของนิคมฯ ยางพารา จำนวน 25 ไร่ เพื่อพัฒนาอาคารโรงงานมาตรฐาน ให้เช่า รองรับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เช่าโรงงานแบบสำเร็จรูปในราคาเท่าทุน พร้อมระบบสาธารณูปโภคที่ครบวงจร ผู้ประกอบการสามารถเข้าประกอบกิจการได้ทันที โดยมีแบบโรงงานให้เลือกจำนวน 3 แบบ ได้แก่ 1) Type A ขนาดพื้นที่ 500 ตร.ม. จำนวน 6 หลัง 2) Type B ขนาด 750 ตร.ม. จำนวน 1 หลัง และ 3) Type C ขนาด 1,000 ตร.ม. จำนวน 14 หลัง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการ SMEs ได้เข้ามาเช่าโรงงานแล้วจำนวน 6 ราย คิดเป็นมูลค่าลงทุนกว่า 140 ล้านบาท โดยคาดว่าเมื่อมีผู้เช่าครบเต็มจำนวน จะทำให้มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานได้ไม่น้อยกว่า 1,000 คน นายวีรพงศ์ กล่าว
HTML::image( HTML::image( HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit