รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ อาจารย์พิเศษ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี, นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากติดเชื้อไวรัส ซึ่งมีมานานแล้ว ร่วม 100 ปี มีหลากหลายสายพันธุ์ และมีการสลับเปลี่ยนเชื้อไวรัสไปมาในแต่ละฤดูกาล ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ เพราะโดยธรรมชาติเชื้อไวรัสต้องการความอยู่รอด และหากไปติดในคน สัตว์ที่มีภูมิคุ้มกันดี เชื้อไวรัสจะอยู่ไม่ได้และตายในที่สุด อย่างไรก็ตามหากผู้ใดติดเชื้อไวรัสแล้วจะระบาดได้ง่าย ซึ่งเกิดขึ้นได้ ทุกเพศ ทุกช่วงอายุ และสามารถติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ โดยละออง เสมหะ จากผู้ป่วยไอ หรือจาม ไปยังผู้ที่อยู่ใกล้เคียง โดยมากมักพบอัตราการติดเชื้อสูงสุดในกลุ่มเด็ก อาจเกิดอาการป่วยรุนแรง มีโรคแทรกซ้อนจนถึงต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือ อาจเสียชีวิตหากไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
แพทย์แนะนำให้ฉีดวัดซีนในกลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นหญิงตั้งครรภ์ เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรัง อาทิ โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน รวมไปถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ดูแลกลุ่มเสี่ยง เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ และผู้ที่สัมผัสกับผู้ที่มีความเสี่ยงเหล่านี้ ทั้งนี้ ในประเทศไทย แพทย์ให้ความสนใจโรคไข้หวัดใหญ่เป็นพิเศษ เพราะสามารถติดเชื้อไวรัสได้ทั้งปี แต่สูงสุดจะอยู่ในช่วงหน้าฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม และอีกฤดูในหน้าหนาว โดยแนะนำให้ฉีดก่อนถึงฤดูกาลระบาด เพื่อให้ภูมิคุ้มกันพร้อมสำหรับป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
อย่างไรก็ตามคนทั่วไป เด็กที่อยู่ในสถาบันศึกษาทุกคน หรือคนที่อยู่ในสถานที่ที่รวมกันมาก ๆ ก็ควรได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วย โดยแนะนำให้ฉีดครั้งละ 1 เข็ม ในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป และฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1 สัปดาห์ สำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป ถึง 9 ปีที่ ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน
สำหรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ ชนิดครอบคลุม 3 สายพันธ์ และชนิดครอบคลุม 4 สายพันธุ์ อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันแนะนำให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนป้องกัน โรคไข้หวัดใหญ่ที่ครอบคลุมไวรัส 4 สายพันธุ์ เพราะสามารถครอบคลุม เชื้อไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่า มีประสิทธิภาพดีกว่า และล่าสุดมีการศึกษาวิจัย ด้านประสิทธิภาพในเด็กเล็ก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการลดลงของจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ลดความถี่ในการมาพบแพทย์ และลดการรักษาตัวในห้องฉุกเฉินได้
รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวด้วยว่า ที่แนะนำให้ประชาชนไปฉีดวัดซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ครอบคลุม 4 สายพันธุ์ดังกล่าวข้างต้น เนื่องจากสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดจะแตกต่างกันไปทุกปี ดังนั้นทางองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงมีการแนะนำให้ปรับสายพันธุ์ในวัคซีนใหม่ทุกปีด้วยเช่นกัน เพื่อให้สายพันธุ์ในวัคซีนใกล้เคียงกับสายพันธุ์ที่จะระบาดมากที่สุด และภูมิคุ้มกันของร่างกายที่สร้างขึ้นจากวัคซีนในปีก่อนๆ อาจไม่ตรงกับ เชื้อไวรัสที่ระบาดในปีต่อมา "ในปี 2561 ประเทศไทยมีวัคซีนชนิดครอบคลุม 4 สายพันธุ์ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ แล้ว หากใครที่เคยฉีดสายพันธุ์เดิมมาก่อน แนะนำให้ฉีดอีกครั้งที่สถานพยาบาล เพื่อให้ได้รับวัคซีนที่มีสายพันธุ์ตรงกับที่องค์การอนามัยโลกได้แนะนำล่าสุด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ และได้รับประโยชน์จากการป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วยวัคซีนอย่างเต็มที่ ดังนั้น แนะนำให้ประชาชนไปฉีดได้ทันทีที่สถานพยาบาลชั้นนำเพราะการเก็บวัคซีนในร่างกายดีกว่า เก็บวัคซีนไว้ในตู้เย็น" รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวทิ้งท้าย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit