เสน่ห์ 'บาเจาะ’ กับ 6 เหตุผลต้องห้ามพลาด

13 Jun 2018
สำหรับใครที่อยากหลีกหนีจากความวุ่นวาย อยากสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ และพร้อมเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้านของมาเลเซีย 'บาเจาะ' (Bachok) น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวสายชิลได้ไม่ยาก
เสน่ห์ 'บาเจาะ’ กับ 6 เหตุผลต้องห้ามพลาด

'บาเจาะ' (Bachok) เมืองแห่งความสงบที่แฝงด้วยเสน่ห์ของวิถีชีวิตชนบท มีสีฟ้าของน้ำทะเลจีนใต้ตัดกับภาพต้นมะพร้าวตระหง่านที่มีให้เห็นทั่วไป เป็นหนึ่งในเขตการปกครองของรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองโกตาบารูประมาณ 25 กิโลเมตร เพียงแค่เดินทางจากในเมืองไม่กี่นาที คุณก็จะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของมาเลเซียในอีกรูปแบบที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

1. วัฒนธรรมการแกะสลักไม้มาเลย์

พิพิธภัณฑ์ไม้แกะสลัก Akademi Nik Rashiddin (Nik Rashiddin Academy) เป็นสถานที่รวบรวมงานไม้แกะสลักพื้นเมืองฝีมือดี เปรียบเสมือนขุมสมบัติของงานไม้แกะสลักแบบมาเลย์ ซึ่งมีทั้งแผ่นไม้สลักโบราณ ด้ามกริช ไม้เท้า เครื่องใช้ในครัว กรงดักนก ไม้หอมแกะสลัก หรือแม้กระทั้งบ้านไม้ทั้งหลัง โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Nik Rashiddin Nik Hussein นักแกะสลักไม้ผู้อุทิศเวลาเกือบทั้งชีวิตให้กับงานสลักไม้พื้นเมือง เป็นบุคคลเพียงไม่กี่คนที่มีความรู้เรื่องงานไม้แกะสลักแบบมาเลย์ หลังจากที่คุณได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คุณจะได้แรงบันดาลใจจากภูมิปัญญาของชาวมาเลเซียที่มีต่อธรรมชาติที่สะท้อนให้เห็นผ่านการออกแบบและศิลปะ

2. Temple-hopping

นอกจากภาพที่เราคุ้นเคยกับวัดทางพุทธศาสนาในประเทศไทยแล้ว วัดในต่างประเทศเองก็เป็นสถานที่หลอมรวมจิตใจและศรัทธาของผู้คนไม่ต่างกัน ที่สำคัญยังสะท้อนถึงศิลปวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นอีกด้วย และสำหรับในเมืองบาเจาะ (Bachok) ถึงแม้ประชากรส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิศลาม แต่ก็เปิดกว้างให้กับทุกศาสนา โดยหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงคือ วัด Photikyan Phutthaktham ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธ โดดเด่นด้วยพระพุทธรูปยืนสีขาวขนาดใหญ่มีความสูงกว่า 108 ฟุต ที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล

3. เสียงเรียกของทะเล

สถานที่ที่น่าสนใจริมทะเลเมืองบาเจาะ (Bachok) คือ Pantai Irama หรือ Beach of Melody นับเป็นสถานที่ยอดฮิตของคนท้องถิ่น เราจะได้เห็นกิจกรรมหลากหลาย เช่น เล่นว่าว ตกปลา บาร์บีคิวปิกนิก หรือภาพร้านริมทางบริเวณชายหาด ที่นี่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนแบบชิลๆ ถ่ายภาพแนว candid ของวิถีชีวิตผู้คน เพียงแค่คุณลองปล่อยความคิดสบายๆ ให้เท้าได้สัมผัสน้ำทะเล แค่นี้ก็เป็นการผ่อนคลายง่ายๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ได้ดีเหมือนกัน ข้อแนะนำข้อเดียวสำหรับการเที่ยวที่นี่คือให้เลี่ยงฤดูมรสุมที่จะมีคลื่นลมแรงในทะเลจีนใต้ ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม

4. อาหารท้องถิ่นของรัฐกลันตัน

สำหรับที่นี่ ข้าวถือเป็นอาหารหลักโดยเฉพาะมื้อเช้า ถึงขนาดมีการจัดงานเทศกาลเกี่ยวกับอาหารที่ทำจากข้าวกว่า 100 ชนิด ในเมืองบาเจาะ (Bachok) คุณจะได้เจอเมนูที่ทำจากข้าวมากมาย เช่น Nasi Dagang, Nasi Berlauk, Nasi Tumpeng, Nasi Kerabu และอีกเมนูที่เป็นอาหารท้องถิ่นห้ามพลาดคือข้าวเหนียวและปลาย่างรสกลมกล่อม เพราะการทำประมงถือเป็นหัวใจหลักของที่นี่เลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นรับประกันได้ว่าอาหารทะเลจากที่นี่สดใหม่แน่นอน!!!

5. เส้นทางประวัติศาสตร์

เมืองบาเจาะ (Bachok) เป็นหนึ่งในจุดที่มีการยกพลขึ้นบกของกองทัพญี่ปุ่นที่บุกเข้าแหลมมลายูในปี 1941 การเยี่ยมชมที่นี่น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ที่หลงไหลประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างกองทัพอังกฤษ อินเดีย และจักรวรรดิญี่ปุ่นบนชายฝั่งตะวันออก ที่นี่จึงนับเป็นอีกสถานที่ที่มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหา

6. เครื่องดินเผาสุดคลาสสิก

ผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญา วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของรัฐกลันตัน ที่นี่นับเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิก และกระเบื้องดินเผาที่ทำด้วยมือรายใหญ่ของประเทศมาเลเซีย เราจะเห็นบ้านเรือนแถวนี้เป็นบ้านไม้และใช้กระเบื้องในการปูหลังคา และด้วยคุณสมบัติของดินที่สามารถเก็บความเย็นได้ดี กระเบื้องดินเผาจึงยังคงเป็นที่นิยมของชาวบ้านกันอยู่ แต่ในปัจจุบันเหลือผู้ผลิตกระเบื้องแบบทำมือ เพียงไม่กี่รายเท่านั้น

หวังว่าด้วยเสน่ห์ของเมืองบาเจาะ (Bachok) ที่เราเลือกมาเล่าให้ฟังนี้ คงทำให้คุณอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองกันบ้างนะ

การเดินทาง

เครื่องบิน

มาเลเซียแอร์ไลน์และแอร์เอเชียให้บริการเที่ยวบินไป-กลับจากกัวลาลัมเปอร์สู่สนามบินเดียวของกลันตัน คือSultan Ismail Petra (KBR) ที่เมืองเปงกาลัน ชีปา (Pengkalan Chepa) ห่างจากเมืองโกตาบารูเพียง 8 กิโลเมตร ส่วนใครที่มาจากปีนังและยะโฮร์บาห์รูสามารถมาที่กลันตันได้โดยสายการบิน FireFly ซึ่งเป็นสายการบิน Low-cost ในเครือมาเลเซียแอร์ไลน์

รถยนตร์ส่วนบุคคล

จากประเทศไทยใช้ช่องทางผ่านอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยข้ามสะพานใหม่ Bukit Bunga, Jeli ผ่านแม่น้ำโก-ลกเพื่อเข้าสู่เมืองรันเตาปันจัง (Rantau Panjang) รัฐกลันตัน ซึ่งการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคล จะต้องซื้อกรมธรรม์ประกันภัยของมาเลเซีย มีขายตั้งแต่ระยะ 1 เดือน จนถึง 1 ปี ราคาเริ่มตั้นประมาณ 500 บาท และจะต้องติดต่อหน่วยงานของมาเลเซีย (JPJ) เพื่อทำ ICP หรือป้ายวงกลมชั่วคราว ติดไว้ที่กระจกหน้ารถ ซึ่งอาจจะเสียเวลาและยุ่งยากเล็กน้อยที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (รถยนต์ที่ติดฟีล์มกรองแสงชนิดเข้ม จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในมาเลเซีย)

รถเช่า

การใช้รถเช่า ส่วนใหญ่เป็นรถตู้โดยสารจากฝั่งไทย ซึ่งมีให้เช่าหลายบริษัท โดยเฉพาะในเขตตัวอำเภอสุไหงโก-ลก อัตราค่าเช่าประมาณคันละ 2,500-3,000 บาท/วัน หรือถ้าหากใครต้องการใช้บริการรถแท็กซี่ของมาเลเซีย ต้องเดินจากด่านฝั่งไทยผ่านด่านฝั่งมาเลเซียเข้าไปที่คิวรถซึ่งจอดอยู่ตรงหน้าด่านรันเตาปันจัง (ฝั่งตรงข้ามด่านสุไหงโก-ลก) ลักษณะรถเป็นรถเก๋งสีแดงแถบเหลือง รถสามารถออกได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เปิดบริการตั้งแต่ 07.00 น. จนถึงเวลาประมาณ 20.00 น. (เวลามาเลเซีย)

เสน่ห์ 'บาเจาะ’ กับ 6 เหตุผลต้องห้ามพลาด เสน่ห์ 'บาเจาะ’ กับ 6 เหตุผลต้องห้ามพลาด เสน่ห์ 'บาเจาะ’ กับ 6 เหตุผลต้องห้ามพลาด