นายวิวัฒน์ กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยการจัดรูปที่ดินใหม่ว่า ปัญหาของชาวบ้านที่บ่อเกลือมีการผลิตข้าวไม่พอกิน ในขณะเดียวกันก็ทำเกษตรเชิงเดี่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการชะล้างพังทลายของหน้าดินตามมา ส่งผลให้ข้าวโพดก็ปลูกไม่ได้เพราะหน้าดินถูกชะล้างพังทลายไปหมด ต้องเพิ่มปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง ต้นทุนการผลิตจึงเพิ่มขึ้น หนี้สินเพิ่มขึ้น สะสมสารเคมีในดินและน้ำทำลายพืชพันธุ์สัตว์น้ำในระยะยาว
ดังนั้น การแก้ปัญหาต้องปรับทั้งระบบการผลิต เพื่อลดการชะล้างหน้าดิน ปรับพื้นที่แล้วปลูกกล้วยปลูกป่า 5ระดับเพื่อเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ ขุดหนอง ขุดคลองไส้ไก่เก็บน้ำฝนเพิ่มความชื้น ปลูกแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ รากหญ้าแฝก 3 เดือนยาว 3 เมตรจะช่วยเก็บกักน้ำไว้ในดิน ซึ่งพบว่าผลผลิตข้าวเพิ่มมากขึ้นโดยใช้พื้นที่น้อยลง เช่นที่ห้วยกระทิง จ.ตาก พบว่าผลผลิตข้าวเพิ่มถึง 3 เท่า จึงอยากให้เกษตรกรทดลองทำหลายๆแบบเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบการเรียนรู้ใหม่ตามศาสตร์พระราชา และให้เกษตรกรมีส่วนร่วมวิจัย จนกลายเป็นตัวอย่างให้คนในพื้นที่ โดยการจัดรูปที่ดินกักน้ำ กักตะกอนไว้แบบนี้เชื่อมั่นว่าเกษตรกรจะสามารถเพิ่มผลผลิตมากขึ้นจากที่ได้ไร่ละ 400 กิโลกรัม เป็นมากกว่า 500 กิโลกรัมต่อไร่
ทั้งนี้ ตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ 9 หน่วยงานได้อาสาเป็นทีมงานวิจัยเพื่อค้นหาแนวทางการเพิ่มผลผลิตข้าวในรูปแบบที่เหมาะสมต่อวิถีวัฒนธรรม ได้แก่ เจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดิน ผู้เชี่ยวชาญด้านข้าว เจ้าหน้าที่กรมประมง เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ นักวิชาการในมหาวิทยาลัย ตัวแทนศูนย์กสิกรรมธรรมชาติบ้านคั๊วะ (ชุมชนต้นน้ำน่าน) เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครองในพื้นที่ และเกษตรกรเจ้าของพื้นที่ คาดว่าจะได้แนวทางการพัฒนาระบบกสิกรรมด้วยศาสตร์พระราชาจนเป็นต้นแบบการแก้ปัญหาทั้งระบบด้วยความสามัคคคีและมีส่วนร่วมได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนหรือในฤดูกาลผลิตนี้เพื่อเป็นการขยายผลศาสตร์พระราชาแก้ปัญหาทั้งระบบแบบมีส่วนร่วมตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 20 ปี