น.ส.จุฑามาศ แก้วศรี นักวิชาการศึกษา และ นางไปยดา สุตระ นักแนะแนวการศึกษาและอาชีพ กองพัฒนานักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (มรภ.สงขลา) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ตนพร้อมด้วยผู้นำนักศึกษาทำกิจกรรมจิตอาสาที่มูลนิธิจงฮั่วสงเคราะห์คนชราอนาถา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และเยี่ยมเยียนผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อาคารเย็นศิระ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เพื่อสร้างความสุขสนุกสนานให้แก่คนกลุ่มดังกล่าว ซึ่งสิ่งที่ผู้นำนักศึกษาได้รับคือการเป็นผู้ให้และรู้จักแบ่งปันด้วยหัวใจ อันเป็นการดำเนินรอยตามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระองค์มีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคงและประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงนำมาสู่การจัดทำโครงการจิตอาสา "เราทำความดี ด้วยหัวใจ" เพื่อสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ บรรเทาความเดือดร้อนและแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน ทั้งยังบ่มเพาะให้นักศึกษาเป็นคนเป็นดี มีทักษะชีวิต และมีจิตสาธารณะ ตามอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
ด้าน นายอนุวัช นุ่นดำ นักศึกษาปี 3 โปรแกรมวิชาพลศึกษา นายกสโมสรนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มรภ.สงขลา หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า การเข้าเยี่ยมผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของตน ก้าวแรกที่ย่างเท้าเข้าไปในอาคารรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยผู้ป่วยมะเร็งและญาติของผู้ป่วย รวมไปถึงตัวของอาคารที่ตั้งอยู่บริเวณวัด ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่ใจมากกว่าเดิม แต่เมื่อได้เข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยน สิ่งที่พวกเขาต้องการคือกำลังใจและมีความสุขเมื่อมีคนเข้าไปเยี่ยม เข้าไปพูดคุย ซึ่งความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากได้เข้าเยี่ยมผู้ป่วย คือการได้เรียนรู้ว่าความทุกข์อันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บนั้น สามารถบรรเทาได้ผ่านการให้กำลังใจและรอยยิ้ม ตนจึงบอกกับตัวเองว่าจงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แล้วความสุขจะเกิดกับตัวเราในทุกๆ วัน
นายจักรกฤษ เลิศลับ นักศึกษาปี 4 โปรแกรมวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ กล่าวบ้างว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นการช่วยเหลือสังคม พวกตนในฐานะองค์กรนักศึกษา ประมาณ 100 คน ล้วนทำด้วยความตั้งใจ ซึ่งการเป็นจิตอาสาถือเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือสังคมในอีกรูปแบบหนึ่ง และเป็นการสนองพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดโครงการจิตอาสา "เราทำความดี ด้วยหัวใจ" ซึ่งการที่ตนได้เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาที่ มูลนิธิจงฮั่วสงเคราะห์คนชราอนาถา ทำให้รู้ว่ายังมีลูกหลานจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถดูแลพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยายของตนเองได้ จึงทำให้บุคคลเหล่านี้ต้องก้าวเข้ามาอยู่บ้านพักคนชรา
"ผมมีโอกาสพูดคุยกับคุณยายคนหนึ่งท่านบอกกว่าอยู่ที่ก็สบายดี มีเพื่อนเยอะแยะ มีคนมาเยี่ยมบ่อย คนที่นี่ก็อายุเกิน 60 ปีแล้วทั้งนั้น บางคนมีโรคประจำตัวแต่ก็ต้องดูแลตัวเอง เพราะหากรอเจ้าหน้าที่ก็คงไม่สะดวกมากนัก คนที่แข็งแรงอยู่ก็ช่วยๆ กันดูแล ผมคิดว่าบางความรู้สึกของพวกท่านคงไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่อย่างน้อยการไปของพวกเราผู้นำนักศึกษาในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ทำให้พวกผมได้มอบสิ่งดีๆ ให้กับคุณตา คุณยาย ได้มีความสุข ผ่อนคลายไปกับจัดกิจกรรมสนุกๆ ที่พวกเราจัดขึ้นเพื่อให้พวกท่านได้รู้ว่าสังคมยังไม่ทอดทิ้ง" นายจักรกฤษ กล่าว
ขณะที่ นายสมบูรณ์ เกตกอ นักศึกษาปี 3 โปรแกรมวิชาดุริยางคศิลป นายกสโมสรคณะศิลปกรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตอนเข้าไปพบคุณตาคุณยายที่รอต้อนรับอยู่ตนรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเข้าหาพวกท่านอย่างไรดี แต่เอาเข้าจริงๆ ทุกท่านต่างให้การต้อนรับอย่างเต็มที่ ซึ่งจากพูดคุยกับคุณตาคุณยายทำให้ตนได้เรียนรู้หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของการใช้ชีวิต พวกท่านไม่ได้เศร้ากับชีวิตที่เป็นอยู่ เนื่องจากมองว่าหากมัวแต่กังวลถึงเรื่องอดีตชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็เศร้าหมองกันพอดี ซึ่งเป็นข้อคิดที่ดีมาก ต้องขอบคุณคุณตาคุณยายและมหาวิทยาลัยมากที่จัดกิจกรรมดีๆ เช่นนี้ขึ้น
ปิดท้ายด้วย นายตะวัน บุญขวัญ นักศึกษาปี 3 โปรแกรมวิชาพลศึกษา นายกองค์นักศึกษาภาคปกติ กล่าวว่า ตนเข้าร่วมกิจกรรม ยาใจ...ผู้ป่วย ซึ่งเป็นการดูแลและให้กำลังใจผู้ป่วยโรคมะเร็ง หลังจากได้พูดคุย กับผู้ป่วยและญาติทำให้ตนรับรู้ว่ากำลังใจถือเป็นพลังบวกที่สำคัญที่สุด โดยผู้ป่วยแต่ละรายมีอาการหนักเบาไม่เท่ากัน บางคนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ บางคนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง คือการดูแลเอาใจใส่ การให้กำลังใจอย่างใกล้ชิดจากครอบครัวหรือคนอื่นๆ
นายตะวัน กล่าวอีกว่า เขาได้คุยกับป้าคนหนึ่งซึ่งเป็นแม่ของผู้ป่วยโรคมะเร็งเนื้องอกในสมอง อาการหนักพอสมควร แต่ป้าก็ไม่ท้อถอย คอยดูแลลูกอย่างเต็มที่ และรอคอยอย่างมีหวังว่าลูกจะหาย สิ่งที่ทำได้ในขณะนั้นคือการให้กำลังใจ พูดคุยกับป้าและลูกของป้าเพื่อให้มีกำลังใจ มีความหวัง และสามารถยิ้มได้ ท่านให้ข้อคิดและบอกว่า "ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน วันนี้เรายังใช้ชีวิตแบบคนปกติ แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งเรากลับไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ทุกช่วงเวลาที่มีลมหายใจ ทุกก้าวของชีวิตมันมีค่ามากจริงๆ พยายามใช้มันให้เกิดคุณค่าต่อตัวเองและผู้อื่นมากที่สุดนะลูกนะ" ทำให้ตนฉุกคิดว่าชีวิตของคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ดังนั้น จึงต้องทำชีวิตให้มีคุณค่าที่สุด ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือคนอื่นๆ
HTML::image( HTML::image( HTML::image(