"ไล่ตงจิ้น" ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต" เป็นหนังสืออัตชีวประวัติของ "ไล่ตงจิ้น" ลูกขอทานกตัญญูที่เกิดมาในครอบครัวยาจก มีพ่อเป็นขอทานตาบอด แม่และน้องชายปัญญาอ่อน พี่สาวต้องขายตัวตั้งแต่อายุ 13 ปีเพื่อให้เขาได้เรียนหนังสือและทุกคนในครอบครัวกว่า 10 ชีวิตมีข้าวกิน กว่า 10 ปีที่ต้องเร่ร่อน ค่ำไหนนอนนั่น อาศัยสุสานและศาลเจ้าเป็นที่คุ้มหัวนอน ผ่านชีวิตที่ลำเค็ญแสนสาหัส แม้แต่ข้าวของสุนัขก็เคยแย่งมาแล้ว แต่ด้วยหัวใจที่รักดีและไม่ยอมแพ้ เขาจึงพากเพียรพยายาม ใฝ่ใจศึกษา และมุ่งมั่นทำงานจนประสบความสำเร็จ แปรเปลี่ยนคำดูถูกเหยียดหยามสารพัดเป็นพลังผลักดันให้สู้ต่อไป พลิกชีวิตจากขอทานข้างถนนเป็นผู้จัดการโรงงาน จนพบรักและแต่งงานสร้างครอบครัวอย่างมีความสุข
แม้ผ่านมากว่าสิบปีที่หนังสือ "ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต" ได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ แต่เรื่องราวของเขายังคงเป็นตัวอย่างและแรงผลักดันให้ทุกคนที่ได้รับรู้เรื่องของเขามีกำลังใจสู้ชีวิตได้อย่างดีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ความนิยมของหนังสือที่ได้รับการพิมพ์ซ้ำมากกว่า 50 ครั้ง จึงถูกนำมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เพื่อหวังให้คนรุ่นใหม่ ได้เรียนรู้ถึงความยากลำบาก และมีพลังกายพลังใจที่แข็งแกร่งเข้มแข็งเฉกเช่นเดียวกับ "ไล่ตงจิ้น" ผู้นี้ และนี่คือ 10 ข้อคิด เสริมกำลังใจ ที่คัดสรรจากเนื้อหาบางส่วน ที่คุณจะได้รับเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้
ความจนสอนให้เราเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยน เพราะการปรับเปลี่ยนทำให้ผ่านอุปสรรคไปได้ และนี่คือปรัชญาของการอยู่รอดระหว่างเร่ร่อนไป พ่อจะคอยบอกให้ผมเก็บก้อนหิน เศษกระจก และตะปูที่ตกอยู่ตามทางเดินออกไปทิ้ง หรือหากพบหลุมขนาดใหญ่ก็ให้เอาไม้มาผูกผ้าปักไว้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อเตือนไม่ให้คนที่รีบเดินมาตอนกลางคืนสะดุดล้มเป็นอันตรายได้ พ่อบอกว่า "เมื่อตัวเองเคยเจ็บมาแล้ว ก็อย่าให้คนอื่นต้องเจ็บซ้ำรอยเดิมอีก" พ่อไม่เคยร่ำเรียนหนังสือ แต่เรื่องราวมากมายที่พ่อสอนให้แก่พวกเราล้วนเป็นเรื่องที่ออกมาจากใจจริงทั้งสิ้นแม้พ่อแม่ของผมจะเป็นคนพิการทั้งคู่ แต่อย่างไรท่านก็อยู่เคียงข้างผม ผมบอกกับตัวเองว่า "การตอบแทนพระคุณพ่อแม่นั้นควรทำให้ทันเวลา และควรทะนุถนอมสิ่งที่มีในตอนนี้ให้ดีที่สุด"ผมวิ่งอยู่ท่ามกลางสายฝน บอกกับตัวเองว่า "ผมจะไปเคาะประตูทุกบ้าน ใครจะด่าว่าดูถูกผมอย่างไรก็เชิญ บ้านหลังนี้ไม่ให้ก็ย้ายไปบ้านหลังใหม่ หมู่บ้านนี้ไม่ให้ก็ไปหมู่บ้านอื่น อย่างไรก็จะต้องหาทางเอาข้าวกลับมาบ้านให้ได้ "ไม่มีอะไรที่จะผลักให้ผมล้มลงได้ อุปสรรคมีแต่จะยิ่งทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น"การร่อนเร่พเนจรสอนให้ผมเข้าใจลึกซึ้งว่าบนโลกใบนี้ไม่มีคำว่าโชคดีหรอก ไม่มีอะไรที่เราจะได้มาง่าย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตล้วนมาจากความมานะพยายามของตนเองทั้งสิ้น "การฝ่าฟันอุปสรรคแต่ละครั้งเปรียบเสมือนการวางอิฐแต่ละก้อนลงบนฐานรากแห่งชีวิตของเรา ชีวิตคนก็แบบนี้แหละ การทำงานก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน"ลูกข่างที่หมุนไปมาก็เหมือนกงล้อแห่งชะตาชีวิต บางครั้งก็หมุนได้ราบรื่นดี แต่บางครั้งก็หมุนเอียงไปเอียงมา ทีสองทีก็กลับหยุดเสียเฉย ๆ ชะตาคนเราก็เหมือนกัน "ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เชือกเส้นนั้นอยู่ใต้การควบคุมของมือเรา ชะตาฟ้าลิขิตไว้ แต่สองมือเราเองสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้" แม้ความทุกข์ยากยังติดตามครอบครัวผมเรื่อยมา แต่ผมก็เต็มใจแบกรับมัน "เพราะความทุกข์ยากสอนให้ผมเติบโตขึ้น ให้ผมรู้จักรักและเสียสละเพื่อครอบครัวได้อย่างเด็ดเดี่ยว"การช่วยเหลือเป็นเรื่องที่พ่อปีติที่สุดในชีวิต พ่อคิดว่าตัวเองเป็นขอทานก็น่าสมเพชพอแล้ว ถึงมีเงินเหลือไว้ให้ลูกหลานก็ใช่ว่าจะช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้ แต่ "การสะสมความดีนั้น วันหนึ่งความดีเหล่านี้อาจย้อนมาตอบแทนที่ลูกหลานก็เป็นได้"ผมบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า "ไม่ได้กินของดีๆ ก็ไม่เป็นไร ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป แต่ก่อนกับข้าวเน่าบูดแค่ไหนก็ต้องกิน ตอนนี้มีข้าวเปล่าให้กินแล้วยังจะไม่พอใจอะไรอีก"การเปลี่ยนแปลงตนเองย่อมง่ายกว่าเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เวลาถูกคนดูถูกจงมุมานะให้มากกว่าเดิมถึงแม้ในปัจจุบันจะมีบุคคลตัวอย่างที่สู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่เรื่องราวความจริงในหนังสือกลับมีความโดดเด่นที่ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าของเรื่องยังมีชีวิตรอดจนถึงปัจจุบัน เราหวังว่าทุกคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะมีพลังใจเพิ่มขึ้นและพร้อมฟันฝ่าอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยหัวใจที่ "ไม่ยอมแพ้"
"ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต" (ปกใหม่ 2018) พิมพ์ครั้งที่ 58 จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายโดย บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด ในราคา 195 บาท วางจำหน่ายแล้วที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อผ่านทาง 0-2662-3000 กด 0 www.nanmeebooks.com และ www.facebook.com/nanmeebooksfan ติดตามข่าวสารและหนังสือที่น่าสนใจอีกมากมายเพียง ADD LINE @nanmeebooks และ @nmbadult
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit