สภาปัญญาสมาพันธ์ เปิดผลวิจัยยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสู่ประเทศรายได้สูง เผยยุทธศาสตร์และกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม จะทำให้ประเทศหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้อย่างยั่งยืน ในอนาคต พร้อมเสนอ 6 ยุทธศาสตร์ความสำเร็จในการก้าวสู่ประเทศรายได้สูง ได้แก่
1. เพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา
2. ยกระดับคุณภาพการศึกษา
3. พัฒนาเศรษฐกิจภาคบริการ
4. ขยายตลาดส่งออก
5. ลดต้นทุนโลจิสติกส์
และ 6. ลดการพึ่งพาการนำเข้า
ระบุการวางกลยุทธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมของรัฐบาล คือประเด็นสำคัญที่ควรตระหนักในการสร้างชาติให้มั่นคงและยั่งยืน
นายทวีชัย เจริญเศรษฐศิลป์ ผู้อำนวยการวิจัยสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา เปิดเผยผลวิจัยยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสู่ประเทศรายได้สูง พร้อมเสนอทางเลือกเชิงนโยบายและกลไกในการขับเคลื่อน ระบุว่าปัจจุบันประเทศไทยยังคงติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) เนื่องจากไม่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (innovation-driven economy) จึงไม่สามารถรักษาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงไว้ได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยมีทรัพยากรจำกัดจึงควรมียุทธศาสตร์ ในการจัดการกับทางเลือกต่างๆ อย่างเหมาะสม งานวิจัยชิ้นนี้จึงได้สังเคราะห์ทางเลือกนโยบายการพัฒนาประเทศสู่รายได้สูง โดยค้นหานโยบายต่างๆ มาจัดเรียงลำดับความสำคัญ พร้อมวิเคราะห์และนำเสนอยุทธศาสตร์และกลไกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่
1. เพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา โดยการจัดทำโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านการวิจัยและพัฒนา
2. ยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงการเรียนการสอนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง
3. พัฒนาเศรษฐกิจภาคบริการ โดยเปิดเสรีภาคบริการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และย้ายแรงงานออกจากภาคเกษตร
4. ขยายตลาดส่งออก โดยการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าเกษตรส่งออก
5. ลดต้นทุนโลจิสติกส์ โดยการผลักดันการขนส่งระบบราง และพัฒนาศักยภาพการบริหารสินค้าคงคลัง
และ 6. ลดการพึ่งพาการนำเข้า โดยการส่งเสริมพลังงานทดแทนเพื่อลดการนำเข้าพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
ด้าน ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา และประธานสถาบันการสร้างชาติ กล่าวเสริมว่า ประเด็นสำคัญที่ควรตระหนักในการสร้างชาติให้มั่นคงและยั่งยืน คือการกำหนดยุทธศาสตร์สำหรับพัฒนาประเทศ โดยคำนึงถึงโครงสร้างและความซับซ้อนของโลกปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากปัจจัยในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการวางกลยุทธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมของรัฐบาล พร้อมกัน 5 ด้าน ได้แก่
1. กลยุทธ์ต้องเข้าใจได้ง่าย เพื่อลดความไม่แน่นอนและช่วยผู้ที่เกี่ยวข้อง คาดการณ์สถานการณ์และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เช่น นโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน
2. กลยุทธ์การร่วมมือกัน โดยเพิ่มการสื่อสารให้มากขึ้นระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสัมคม เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
3. กลยุทธ์กระจายอำนาจ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจนโยบายภาครัฐเกิดประสิทธิผลมากขึ้น เช่น การกระจายอำนาจด้านการศึกษาให้โรงเรียนต่างจังหวัด ได้รับการพัฒนาและส่งเสริมอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
4. กลยุทธ์ด้านระบบดิจิตอล โดยนำเอาระบบดิจิตอลมาช่วยการจัดอย่างเป็นระบบ เพื่อลดความซับซ้อนและจำนวนคนที่เกี่ยวข้อง
และ 5. กลยุทธ์การมองจากภายนอก โดยภาครัฐควรใช้นโยบายเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศ เช่น การเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งการรวมกลุ่มระหว่างประเทศ เป็นต้น
ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.โฮเซ สเตลเล่ ผู้เขียนหนังสือ 'บทเล็คเชอร์ที่จีน' กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน มีอิทธิพลมาจากแรงกดดันหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1. ระบบสังคมนิยม และ 2. แรงกดดันอื่นที่คล้ายกับระบบสังคมนิยม สิ่งที่จะช่วยให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องอาศัย "หลักนิติธรรม" ประกอบด้วย กฏหมายต้องถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์กับคนในประเทศ ต้องมีความเสมอภาคในการใช้กฏหมาย ผู้บังคับใช้กฏหมายต้องเป็นกลาง และต้องมีกระบวนการยุติธรรมและรัฐธรรมนูญที่ดี ควบคู่กับการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพภายใต้กฏหมาย เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขในสังคม ซึ่งในภาพรวมจะก่อนให้เกิดความสามัคคีและประเทศชาติที่เข้มแข็ง และนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สภาปัญญาสมาพันธ์ (WISDOM COUNCIL) โทรศัพท์ 084-522-4424 อีเมล: [email protected] หรือเข้าไปที่www.wisdomcouncilthailand.com
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit