พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ กล่าวว่า ในฐานะที่เคยรับราชการทหาร ได้น้อมนำแนวทางพระราชทานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชใส่เกล้าฯ เสมอมาว่า "ทุกข์ของประชาชนคือทุกข์ของแผ่นดิน" ดังนั้น "ทุกข์ของประชาชน ก็เป็นทุกข์ของทหารด้วย" มาวันนี้ จึงมีเจตนาเพื่อมารับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ จากพี่น้อง ประชาชนโดยตรง ตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาในฐานะตัวแทน ของรัฐบาลที่พร้อมนำปัญหาไปดำเนินการแก้ไข
"ก่อนการลงพื้นที่ได้ศึกษาปัญหาของชาวบ้านมาตลอดและวันนี้มาพบว่ามีความสอดคล้องกันกับเสียงของประชาชนในพื้นที่ จึงแบ่งกลุ่มปัญหาออกเป็น 4 กลุ่ม และใช้ 4 แนวทางในการแก้ไขคือ กลุ่ม 1 เป็นประเด็นที่ สามารถทำได้ทันที กลุ่ม 2 เป็นประเด็นที่พอดำเนินการได้ แต่อาจต้องแก้ไขระเบียบหรือจัดให้มีมาตรการต่างๆ ซึ่งต้องมีการกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินงาน กลุ่ม 3 เป็นประเด็นที่ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินยาว ต้องแก้ไข กฎหมาย กลุ่ม 4 เป็นประเด็นที่ทำไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นประเด็นที่ดีมาก อาจเสนอให้มีการพิจารณาใช้ มาตรา 44 ตามความเหมาะสม เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ แต่เริ่มนำร่องให้ดูที่จังหวัดน่าน" รมว.ทส. กล่าว
พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทุกนโยบายรัฐบาลมีทั้งด้านบวกและลบ คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ ประชาชนชาวบ้าน การรับฟังความต้องการของประชาชนหรือชาวบ้านโดยตรงว่าต้องการอะไร อะไรคือสิ่งที่ อยากได้ และสามารถทำได้ทันทีก็จะได้รีบดำเนินการ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่ต้นน้ำราษฎรทำกิน มาต่อเนื่อง และเป็นเงื่อนไขที่ต้องเร่งรัดดำเนินการด่วนที่สุด โดยวิถีของ เป็นประชารัฐ เป็นมวยมุมเดียวกัน ไม่ใช่มวยคนละมุม
ผลจากการพบปะพี่น้องเมืองน่าน พบข้อมูลที่แม้จะมาจากต่างที่ ต่างอำเภอ แต่ก็พอจะประมวลได้ 17 ประเด็น คือ
1. ขยายผลแนวทางการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล
2. ส่งเสริมกิจกรรม ป่าครอบครัวไปสู่พื้นที่ต่างๆ
3. จัดให้มีการแบ่งเขตป่าหรือพื้นที่ของภาครัฐให้ชัดเจน
4. จัดให้มีการสื่อสาร ถ่ายทอดคำสั่งจากภาครัฐลงสู่ภาคประชาชนอย่างทั่วถึงและชัดเจน
5. มีระบบการตอบแทนผู้ที่ดูแลรักษาป่าต้นน้ำในรูปแบบต่างๆ เช่น การลดค่าไฟฟ้า
6. มีการจัดสรรพื้นที่ทำกินให้แก่ประชาชน
7. ยอมรับข้อบัญญัติท้องถิ่น ที่ท้องถิ่นกำหนดขึ้นเพื่อเป็นกติกาการดูแลรักษาป่า และให้เป็นส่วนหนึ่งของข้อ กำหนดของกฎหมายของภาครัฐ
8. ขยายผลกิจกรรม "สวมหมวกให้ภูเขา สวมรองเท้าให้ตีนดอย"
9. ปลดล็อกให้องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นสามารถจัดสรรงบประมาณในกิจกรรมที่ดำเนินการในพื้นที่ของภาครัฐได้ 10.ส่งเสริมการใช้ประโยชน์และการตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าไม้เศรษฐกิจ เช่น ไผ่
11. เพิ่มการขึ้นทะเบียนป่าชุมชน
12. หามาตรการผ่อนปรนหรือแก้ปัญหาหนี้สินของราษฎร ที่ทำกินในพื้นที่ทับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้สินกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
13. จัดทำโครงการแปลงต้นไม้เป็นทุนหรือให้สามารถใช้ต้นไม้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
14. จัดการเอกสารสิทธิที่ดิน
15. สามารถเก็บเกี่ยวและจำหน่ายผลผลิตที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ของรัฐได้โดยไม่ถูกจับกุม ดำเนินคดี
16. สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศได้ง่ายขึ้น และจัดให้มีข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้องและครบถ้วน
17. จัดให้มีการฝึกฝนทักษะเป็นผู้ประกอบการให้ประชาชน
พลเอกสรุศักดิ์ กาญจนรัตน์ ได้มอบแนวทางแก้ไขปัญหาที่ทำได้ทันทีว่า จะใช้แนวทางการดำเนินการที่สะดวกและมีอำนาจตามกฎหมายอยู่แล้ว คือการใช้อำนาจของอธิบดีกรมป่าไม้ ในการออกคำสั่งต่างๆ อาทิ กรณีพื้นที่ในป่าสงวน สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยใช้อำนาจอธิบดีกรมป่าไม้ ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ เช่นพื้นที่ป่าสงวนมีคนเข้าไปอยู่ประมาณ 1.4 ล้านไร่ ซึ่งจัดไปแล้วกว่าแสนไร่ ดังนั้นในส่วนที่เหลือก็ต้องออกแบบการอนุญาตให้สามารถเข้าไปทำกินในรูปแบบอื่นๆต่อไป ส่วนพื้นที่ในอุทยาน ฯ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับเพิ่มอำนาจของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ข้างต้นผ่าน ครม. รับหลักการไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในชั้นกฤษฎีกา หากแล้วเสร็จก็เข้ากระบวนการของวิปส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามลำดับ ซึ่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จเร็วๆนี้
อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ได้ให้แนวคิดว่า ในขณะที่พื้นที่มีจำกัด การกระจายสิทธิทำกินควรดำเนินการในลักษณะการจัดการเป็นกลุ่มหรือชุมชน ไม่ใช่รายปัจเจก และหากชุมชนใดพร้อมก่อน ก็สามารถดำเนินการได้ทันที นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีการออกแบบ และวางแผนร่วมกันถึงรูปแบบกิจกรรมการใช้พื้นที่ป่าเพื่อการยังชีพและสร้างรายได้พร้อมไปกับการยังคงให้ป่าทำหน้าที่ป่าต้นน้ำได้ นั่นคือ การยึดหลักการว่า "รัฐได้ป่า ประชาชนได้ที่ทำกิน"
ในการนี้ ได้มีข้อเสนอจากราษฏรที่ร่วมเวทีถึงแนวทาง ธนาคารต้นไม้ และการปลูกต้นไม้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจแทนการปลูกพืชเกษตร ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ได้ตอบว่า แนวทางนี้ได้มีข้อเสนอมาแล้วจากหลายภาคส่วนและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังจะจัดเวทีระดมความคิดเห็นเรื่องนี้ต่อไป พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประกาศว่านับจากนี้ไป กรมป่าไม้จะปรับบทบาทจากการทำหน้าที่เพาะและแจกกล้าไม้ มาเป็นศูนย์เรียนรู้เพาะชำตำบล และจะใช้กลไกของเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน หรือ ทสม. เป็นโซ่ข้อกลางในการประสานการดำเนินการ และอาจมีการเพิ่มหน่วยประสานและส่งเสริมของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานฯในพื้นที่จังหวัดน่านให้มากขึ้น ต่อกรณี ปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรนั้น จะได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมทรัพยากรน้ำ ร่วมกันสำรวจและดำเนินการ
ทั้งนี้ จะใช้วัดโป่งคำ เป็นหน่วยประสานการดำเนินงานและติดตามความผลความคืบหน้า เป็นระยะ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ได้กล่าวถึง เป้าหมายของการดำเนินงานด้านป่าไม้ ในปี พ.ศ.2579 ว่า ต้องมีการปรับใน 5 ข้อ คือ 1) ป่าไม้ไทยอุดมสมบูรณ์ 2) เกื้อกูลการพัฒนา 3) ปวงประชามีสุข 4) ปลูกป่าในใจคน และ 5) เปี่ยมล้นสามัคคี
หลังปิดเวทีเสวนา ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงสาเหตุที่เลือกมาลงพื้นที่จังหวัดน่าน ทั้งที่ปัญหาป่าไม้-ที่ดินเกิดทั่วประเทศ ทำไมต้องเป็นน่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบว่าพื้นที่น่านเป็นพื้นที่ราบเพียงร้อยละ 15 อีกร้อยละ 85 เป็นพื้นที่ลาดชัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1-2 การแก้ปัญหาจำเป็นจะต้องใช้หลักทางรัฐศาสตร์เข้ามาช่วย นอกเหนือจากการบังคับใช้กฎหมายตามหลักนิติศาสตร์ เพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ย้ำว่าสำหรับนโยบายทวงคืนผืนป่า จะยังเดินหน้า แต่ดำเนินกับนายทุน ส่วนประชาชนที่ได้รับผลกระทบรัฐบาลก็มีนโยบายในด้านการเยียวยา
แหล่งข่าวกล่าวว่า การลงพื้นที่พบปะพี่น้องเมืองน่านโดยตรงของ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งนี้ ได้สั่งห้ามมีการต้อนรับแบบดั้งเดิมที่เคยทำในยุคสมัยอดีตด้วยการตั้งแถวขบวนนำมากมายโดยเปลี่ยนเป็นให้ชาวบ้านนั่งอยู่แถวหน้าๆ อย่างใกล้ชิดและรัฐมนตรี สุรศักดิ์ อยู่กับพี่น้องชาวน่านทั้งวัน จึงหวังให้เป็นแบบอย่าง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลและ คสช.ได้อยู่ในใจประชาชนคนไทยทั้งประเทศแบบไม่เสียของตลอดไป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit