กล้องถ่ายภาพตระกูล EOS ของแคนนอนเปิดตัวพร้อมกับเลนส์ตระกูล EF เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1987 โดยเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการใช้เมาท์อิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบกับกล้องฟิล์ม SLR ที่มีระบบโฟกัสอัตโนมัติ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ทั้งสองตระกูลทวีความหลากหลายและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จากผู้ใช้งานตั้งแต่ผู้ใช้กล้องเป็นครั้งแรกไปจนถึงนักถ่ายภาพมืออาชีพ การผลิตยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 จากความแพร่หลายของกล้องดิจิทัล SLR อีกทั้งกล้องดิจิทัลเปลี่ยนเลนส์ได้ของแคนนอนยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ของโลกถึง 14 ปีติดต่อกันนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 อีกด้วย2
กล้องตระกูล EOS มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด "ความเร็วและความสะดวกสบาย" และเมื่อถึงยุคของกล้องดิจิทัล แนวคิดดังกล่าวจึงขยายครอบคลุมเรื่อง "คุณภาพสูงของภาพถ่าย" ด้วย โดยแคนนอนเป็นผู้คิดค้นพัฒนาอุปกรณ์ส่วนสำคัญทั้งหมดของกล้อง EOS เอง ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ CMOS ชิปประมวลผลภาพ หรือเลนส์ถอดเปลี่ยนได้ โดยเฉพาะเลนส์ตระกูล EF ที่เป็นผู้นำในด้านยอดขายและใช้นวัตกรรมที่เป็นครั้งแรกของโลก3หลายอย่าง เช่น มอเตอร์อัลตร้าโซนิค (USM) ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (IS) และ ชิ้นเลนส์กระจายลำแสงหลายชั้นเพื่อลดขนาดของเลนส์โดยรวมลง (multilayered diffractive optical (DO) element)แคนนอนยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ตระกูล EOS และ EF ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีด้านภาพและเชื่อมโยงเทคโนโลยีการถ่ายภาพนิ่ง วิดีโอ และระบบการเชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างลงตัว แคนนอนมีความตั้งใจที่จะผลิตสินค้าที่มีทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยที่ไว้ใจได้ พร้อมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโออย่างไม่หยุดยั้ง
กล้องรุ่นแรกในตระกูล EOS คือกล้อง SLR เปลี่ยนเลนส์ได้รุ่น EOS 650 เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1987 กล้องรุ่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นกล้องรุ่นแรกในโลกที่ใช้ระบบเมาท์เลนส์อิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น แต่กล้องกับเลนส์ยังทำงานประสานกันผ่านระบบดิจิทัลทั้งหมดด้วยเทคโนโลยีออโต้โฟกัสยุคใหม่
ในยุคที่กล้องฟิล์มเป็นที่นิยม แคนนอนได้เปิดตัวกล้องหลายรุ่นเพื่อความต้องการใช้งานที่หลากหลาย เช่น EOS-1 ที่เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อปี 1989 เจาะกลุ่มช่างภาพอาชีพ และ EOS Kiss (ชื่ออื่นๆ คือ EOS Rebel XS และ EOS 500) ที่เปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อปี 1993 และเป็นกล้องขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบาที่ช่วยขยายฐานลูกค้าผู้ใช้กล้องแคนนอนได้อย่างมาก ต่อมาในปี ค.ศ. 2003 เริ่มเข้าสู่ยุคกล้องดิจิทัล แคนนอน ประเทศญี่ปุ่นจึงได้เปิดตัว EOS Kiss Digital (ชื่ออื่นๆ คือ EOS Digital Rebel or EOS 300D Digital) กล้องดิจิทัล SLR ระดับ entry-level ที่ทั้งกะทัดรัด น้ำหนักเบา และราคาไม่แพง ช่วยให้ตลาดกล้องถ่ายภาพเกิดการขยายตัวครั้งใหญ่และทำให้แคนนอนกลายเป็นเจ้าตลาดรายใหญ่ที่สุดในปีเดียวกัน หลังจากนั้นแคนนอนได้เปิดตัวกล้องถ่ายภาพที่เป็นนวัตกรรมแห่งยุคอย่างต่อเนื่องในซีรีส์ EOS-1D และ EOS 5D ซึ่งทำให้การถ่ายวิดีโอด้วยกล้อง SLR เป็นที่นิยมมากขึ้น และทำให้แคนนอนครองความเป็นผู้นำยอดขายอันดับ 1 ของโลกในตลาดกล้องดิจิทัลเปลี่ยนเลนส์ได้ต่อเนื่องถึง 14 ปีซ้อน นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003-2016
นับตั้งแต่การเปิดตัวเลนส์ EF รุ่นแรกพร้อมกับกล้องตระกูล EOS ในปี 1987 แคนนอนได้พัฒนาเลนส์หลากหลายรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นครั้งแรกของโลก เช่น รุ่น EF75-300mm f/4-5.6 IS USM ที่มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวและเปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ.1995 รุ่นEF24mm f/4.5L II USM ที่เคลือบด้วยสารป้องกันการสะท้อนของแสง Subwavelength Structure Coating (SWC) และเปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 2008 รวมถึงได้เปิดตัวเลนส์รุ่น EF11-24mm f/4L USM ในปี ค.ศ.2015 โดยเป็นเลนส์ซูมมุมกว้างพิเศษ (ultra-wide-angle) รุ่นแรกของโลก4ที่มีทางยาวโฟกัส 11 มม.
ปัจจุบันนี้เลนส์ตระกูล EF มีทั้งหมด 93 รุ่น5 ซึ่งรวมถึงเลนส์มุมกว้างพิเศษทางยาวโฟกัส 8 มม. เลนส์ซุเปอร์เทเลโฟโต้ทางยาวโฟกัส 800 มม. ไปจนถึงเลนส์ในซีรีส์ EOS Cinema สำหรับการถ่ายภาพเคลื่อนไหว ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกหลายสำหรับทุกความต้องการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ซูม เลนส์ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว เลนส์ความเร็วสูงรูรับแสงกว้าง เลนส์มาโคร หรือแม้กระทั่งเลนส์ tilt-shift ในซีรีส์ TS-E แคนนอนจึงพร้อมตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้กล้องทุกคน
1 รวมถึงเลนส์ EF Cinema Series
2 ข้อมูลจากการสำรวจของแคนนอน
3 ในกลุ่มเลนส์ถอดเปลี่ยนได้สำหรับกล้อง SLR ข้อมูลจากการสำรวจของแคนนอน
4 ในกลุ่มเลนส์ถอดเปลี่ยนได้สำหรับกล้อง SLR และคอมแพกต์ ไม่รวมเลนส์ฟิชอาย ข้อมูลจากการสำรวจของแคนนอน
5 รวมถึงอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ 2 รุ่น เลนส์ที่ไม่มีจำหน่ายในญี่ปุ่น 2 รุ่น และเลนส์ EF Cinema 14 รุ่น ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม ค.ศ.2017
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit