ก่อนที่จะตอบคำถามด้านบน ขอเล่าความจริงบางอย่างให้อ่านกัน… ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเพศหญิงไม่ได้แค่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้หญิงที่โดนทำร้ายเท่านั้น แต่ความเจ็บปวดนี้ยังส่งผลกระทบไปยังคนทุกเพศ ทุกวัยในสังคม กระเทือนถึงรากลึกทัศนคติแห่งการใช้ชีวิตของผู้คนในเรื่องสิทธิความเท่าเทียม ไปจนถึงสั่นคลอนเศรษฐกิจระดับชาติ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งถูกทำร้ายไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม สร้างบาดแผลแก่ร่างกายและจิตใจของพวกเธอจนกระทั่งทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานลดลงจึงทำให้มีรายได้ลดน้อยลงไปด้วย โดยมีข้อมูลว่าผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงจากคู่ครองจะมีรายได้จากงานประจำน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่ถูกกระทำความรุนแรงถึง 60%[2] ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผู้หญิงเหล่านี้มีสถานะในสังคมต่ำลงไปโดยปริยาย พวกเธอจึงไม่สามารถออกมาทำกิจกรรมร่วมกับสังคมหรือชุมชนภายนอกได้อย่างเต็มที่เท่าที่ควร อย่างร้ายแรงที่สุดอาจนำไปสู่การเกิดเหตุฆาตกรรมหรือการฆ่าตัวตาย
บาดแผลนี้จึงถูกส่งต่อไปยังคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูกของพวกเธอจะซึมซับความรุนแรงไปโดยไม่รู้ตัว เด็กที่เติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีความรุนแรงอาจจะมีความบกพร่องทางอารมณ์และพฤติกรรม ส่งผลให้มีโอกาสเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้านความรุนแรงต่อไปได้ในอนาคต และมีโอกาสเกิดอัตราการเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยสูงขึ้นจากโรคอุจจาระร่วงหรือการขาดสารอาหารในทารกและเด็ก เนื่องจากผู้เป็นแม่ที่โดนทำร้ายจนสภาพจิตใจและร่างกายไม่พร้อมดูแลลูกได้เต็มร้อย
ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงลุกลามก่อให้เกิดปัญหาระดับชาติ อันเนื่องด้วยภาระค่าใช้จ่ายมากมายมหาศาลในการเยียวยาผู้ถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็น ค่าใช้จ่ายทางตรง อย่าง ระบบสาธารณสุข สวัสดิการสังคม กระบวนการยุติธรรม บริการที่ปรึกษาและบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ปัญหาตามมาที่ใหญ่หลวงคือการสูญเสียแรงงานที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ การที่ผู้หญิงไม่มีโอกาสในการศึกษา การจ้างงาน และการใช้ชีวิตนั้น บ่อนทำลายเป้าหมายของบางประเทศในการลดระดับความยากจน โดยผลสำรวจชี้ว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงทั่วโลกคิดเป็นประมาณ 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของทั้งโลกหรือประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเทียบได้กับขนาดเศรษฐกิจของประเทศแคนาดาทั้งประเทศ[3] หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าการเกิดสงครามกลางเมืองเลยทีเดียว และนี่คือสิ่งที่สังคมต้องจ่ายให้กับผลกระทบของปัญหาเหล่านี้
ผลกระทบที่ขยายผลจากปัญหาที่มีจุดเริ่มต้นในครอบครัว เป็นเหตุผลว่าทำไมองค์กรทั่วโลกต่างต้องรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเป้าหมายสูงสุดของการรณรงค์ คือ การขุดรากถอนโคนระดับจิตสำนึกในการปฏิรูปความคิดและทัศนคติของผู้คนที่มีต่อประเด็นปัญหาเรื่องนี้ ว่าปัญหาเรื่องความรุนแรงต่อผู้หญิงไม่ใช่เรื่องปกติไม่ใช่ปัญหาภายในครอบครัว ไม่ใช่ความผิดของผู้หญิง แต่มันคือปัญหาสังคม อ่านมาถึงตรงนี้แล้วจะพบคำตอบของคำถามด้านบนที่ว่า เราจะช่วยกันยุติปัญหานี้ได้อย่างไร?
มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลได้เก็บข้อมูลสถานการณ์ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในรอบปี 2559 โดยการรวบรวมข่าวความรุนแรงในครอบครัวจากหนังสือพิมพ์ในปี2559 จำนวน 13 ฉบับ ได้แก่ ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวสด คมชัดลึก มติชน แนวหน้า ไทยโพสต์ กรุงเทพธุรกิจ บ้านเมือง สยามรัฐ พิมพ์ไทย ผู้จัดการรายวัน โพสต์ทูเดย์ พบข่าวความรุนแรงในครอบครัวสูงถึง 466 ข่าว โดยพบว่าส่วนใหญ่สามีกระทำต่อภรรยา 71.8% นอกจากนี้ยังพบว่าข่าวความรุนแรงทางเพศของคนในครอบครัวมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้นมากที่สุด 33.3% รองลงมาคือ ข่าวการฆ่ากัน 21.2% และข่าวทำร้ายกัน 14.8% นอกจากนี้ยังพบมูลเหตุที่ทำให้เกิดกรณีข่าวสามีฆ่าภรรยามาจากการหึงหวง ระแวง ฝ่ายหญิงไม่ยอมคืนดี 78.6% ในการรายงานข้อมูลสถานการณ์นี้ใช้ชื่อ ตอน ความรุนแรง ""ฆ่า"" ครอบครัว เพื่อขุดลึกถึงต้นตอของปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง พบว่า ทัศนคติแบบ ""ชายเป็นใหญ่"" เปลี่ยน ""บ้าน"" ให้เป็น ""เวทีมวย"" ด้วยแรงกระตุ้นจากเครื่องดื่มมึนเมาและสารเสพติด โดยมีมูลเหตุหลักจากความหึงหวงทัศนคติแบบ ""ชายเป็นใหญ่"" ทำให้ผู้ชายบางคนมองภรรยาตัวเองเป็นสมบัติในครอบครองที่สามารถใช้อำนาจเหนือและปฏิบัติกับเธออย่างไรก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทัศนคติแบบ ""ชายเป็นใหญ่"" ไม่ได้จำกัดแค่อยู่ในความคิดของผู้ชายเท่านั้น แต่ก็เป็นทัศนคติที่อยู่ในความคิดของผู้หญิงด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการนำไปสู่ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในที่สุด ความคิดและทัศนคติเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องเปลี่ยนแปลง
นี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญรณรงค์ในโอกาสวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากลในวันที่ 25 พฤศจิกายน โดยมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย ภายใต้แนวคิด ""บ้าน… ไม่ใช่เวทีมวย"" ต้องการปลุกกระแสสังคม ""#ผู้ชายไม่ทำร้ายผู้หญิง"" จี้จุดกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ชาย ผ่านกีฬามวยไทยซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมที่ผู้ชายชื่นชอบ โดยต้องการสื่อสารว่า ผู้ชายต้องล้อมกรอบความรุนแรงด้วยเชือกเส้นหนา 3 เส้น บนสังเวียนมวยที่มีกติกา และอย่านำความรุนแรงกลับไปที่บ้าน ในขณะที่ผู้หญิงเองเมื่อถูกกระทำความรุนแรง จะต้องกล้าที่จะลุกออกมาสื่อสารกับสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญที่สุดคือการปลูกฝังทัศนคติความเท่าเทียมและการเคารพซึ่งกันและกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ให้กับทุกคนในสังคม ตั้งแต่สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา ไปจนถึงทุกภาคส่วน ว่าความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องส่วนตัวและไม่ใช่ปัญหาระดับปัจเจกบุคคล แต่เป็นประเด็นปัญหาระดับมนุษยชาติที่สั่นสะเทือนทุกมิติระดับโลก และทุกคนล้วนมีส่วนในการยุติปัญหาความรุนแรง
คนที่เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ไม่ได้หมายถึงผู้กระทำความรุนแรงเพียงเท่านั้น แต่คนคนนั้นหมายถึงพวกเราทุกคนที่มีทัศนคติและความคิดบางอย่างที่มีส่วนขยายหรือซ้ำเติมต่อปัญหาที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น จะดีกว่าไหมถ้าเราทุกคนร่วมมือกันดูแลและถนอม ""ดอกไม้"" ดอกนั้นเพื่อสร้างความสวยงามให้บานสะพรั่งไปทั่วโลก
ชมภาพยนตร์โฆษณาชุด ""บ้าน… ไม่ใช่เวทีมวย"" ได้ที่ https://goo.gl/iiVRFW หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล แล้วมาร่วมกันชูป้าย ""บ้าน.... ไม่ใช่เวทีมวย ผู้ชายไม่ทำร้ายผู้หญิง"" ที่คุณเขียนขึ้น และโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย พร้อมกับติดแฮชแท็ก #ผู้ชายไม่ทำร้ายผู้หญิง ในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน ""เพราะเราคงไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใครอีก""
สายด่วนมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล โทร. 02-513-2889
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit