นายพงค์พัฒน์ มั่งคั่ง สำนักพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า กรม พพ. เล็งเห็นว่า ปัจจุบัน ความต้องการใช้พลังงานในประเทศไทยยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากข้อมูล ร้อยละ 60 ของการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมมาจากเครื่องปรับอากาศและระบบความเย็น โครงการส่งเสริมการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระบบปรับอากาศขนาดใหญ่และระบบทำความเย็นในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ เพื่อสนับสนุน และสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการใช้พลังงานที่ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนทุนส่วนหนึ่งและคำแนะนำเอกชนปรับปรุงการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตอย่างคุ้มค่า และประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม วัดผลได้ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศโลกต้นเหตุสำคัญของปัญหาโลกร้อน รวมไปถึงช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีของประเทศ
""ความร่วมมือของกรม พพ.และซีพีเอฟในวันนี้ มีความสำคัญมาก เป็นการผนึกกำลังของภาครัฐและเอกชนในการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อตอบสนองนโยบายการอนุรักษ์พลังงานและ สร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ รวมถึงช่วยบรรเทาผลกระทบจากโลกร้อนได้ ขณะเดียวกัน ยังช่วยขีดความสามารถในการแข่งขัน โครงการของซีพีเอฟจะเป็นต้นแบบที่ดีขยายผลสู่ภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วย"" นายพงค์พัฒน์ กล่าว
กรมพพ. ได้มอบสัญญาอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ และระบบทำความเย็น จำนวน 12 สัญญา แก่โรงงานควบคุมของซีพีเอฟ ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องทำระบบความเย็นและปรับอากาศ โดยมีตัวชี้วัดอย่างชัดเจน เพื่อให้เห็นผลของการประหยัดจริง ภายใต้กรอบเวลา 1 ปี โดยผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจะได้รับเงินอุดหนุนตามผลที่เกิดขึ้นจริง
นายจารุบุตร เกิดอุดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ซีพีเอฟ กล่าวว่า ความร่วมมือกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงานในการดำเนินโครงการประหยัดพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและปรับอากาศในกระบวนการผลิต จำนวน 32 โครงการ อาทิ การปรับปรุงระบบทำน้ำแข็ง เปลี่ยนมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
เปลี่ยนใบพัดลม ปรับปรุงการลดความเย็นสูญเสีย จะช่วยให้ซีพีเอฟใช้พลังงานมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยคาดว่า การดำเนินโครงการทั้ง 32 โครงการนี้จะช่วยให้ซีพีเอฟประหยัดการใช้พลังงานโดยรวมเพิ่มอีก 8.5 ล้านกิโลวัตต์ต่อปี สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึง 4,606 ตันไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.52 เทียบกับปี 2558 รวมทั้งสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 29 ล้านบาทต่อปีอีกด้วย
""การดำเนินโครงการประหยัดพลังงานร่วมกับกรมพพ. เป็นความมุ่งมั่นของซีพีเอฟที่ร่วมสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานที่ตอบสนองนโยบายของภาครัฐ และเป้าหมายการประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของซีพีเอฟที่ตั้งเป้าลดการใช้พลังงาน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 5 ในปี 2563 เทียบกับปีฐาน 2558"" นายจารุบุตรกล่าว
ซีพีเอฟ ได้จัดตั้ง ""คณะอนุกรรมการสิ่งแวดล้อมยั่งยืน"" ส่งเสริม สนับสนุนผลักดันโครงการด้านสิ่งแวดล้อม และร่วมบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ ทั้งด้านน้ำ อากาศ และของเสีย สำหรับในปี 2559 ที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้ริเริ่มโครงการด้านการประหยัดพลังงานจำนวน 104 โครงการ ช่วยลดการใช้พลังงานไปแล้วกว่า 80,000 กิกะจูล คิดเป็นร้อยละ 11.26 ต่อหน่วยการผลิต เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้กว่า 7,200 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตลอดจน เดินหน้าส่งเสริมให้หน่วยงานนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ลดการใช้พลังงานที่ทดแทนไม่ได้ ตลอดจนร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง.