นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "จากการดำเนินงานตามแนวคิด Journey for Tomorrow ที่มุ่งเน้นการปฏิวัติองค์กรอย่างรอบด้านในปีที่ผ่านมา ทำให้ก้าวแรกของ Journey ของเราประสบความสำเร็จทั้งในด้านยอดขายและรายได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการรุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง และมีความพร้อมความแข็งแกร่งที่จะเติบโตต่อเนื่องในปี 2561"
ความสำเร็จที่สำคัญในปีที่ผ่านมา ได้แก่ การเปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 14 โครงการรวมมูลค่า 37,200 ล้านบาท และทำยอดพรีเซลล์สูงถึง 38,600 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 24% จากปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากการทำการตลาดครอบคลุมทุกเซ็กเม้นต์ รวมทั้งยังประสบความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวมทั้งในกลุ่มลูกค้าไทยและกลุ่มลูกค้าต่างชาติ นอกจากนี้ การทยอยเปิดโครงการใหม่ตลอดทั้งปียังทำให้ แสนสิริมีรายได้กระจายต่อเนื่องตลอดทั้งปี สร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงินเป็นอย่างมากอีกด้วย
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้แสนสิริมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งประกอบด้วย 6 ประการ คือ
1. ตอกย้ำความสำเร็จจากตลาดต่างชาติและครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของอสังหาฯ ไทย ในกลุ่มลูกค้าต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง จากการรุกการทำการตลาดอย่างจริงจัง โดยแสนสิริสามารถทำยอดขายตลาดต่างชาติในปี 2560 ได้ถึง 9,300 ล้านบาท เกินจากเป้ายอดขายที่วางไว้ 7,500 ล้านบาท และเติบโตขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบจากปี 2559
2. การสานต่อการร่วมทุนกับพันธมิตร ทั้งกลุ่มบีทีเอส และโตคิวกรุ๊ป โดยในปี 2560 มีโครงการที่เปิดใหม่ทั้งหมด 4 โครงการรวมมูลค่า 14,100 ล้านบาท ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะโครงการ เดอะ ไลน์ สาทร ที่สามารถปิดการขายได้ทันที หลังเปิดขาย online booking ในวันแรก
3. ความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด ซึ่งสามารถปิดการขายได้ 100% ในทั้ง 13 โครงการที่เปิดตัว รวมมูลค่าโครงการ 18,330 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36% จากปี 2559
4. ประสบความสำเร็จในการขายโครงการที่อยู่อาศัยทุกแบรนด์ ตั้งแต่โครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ เศรษฐสิริ บุราสิริ และ คณาสิริ โครงการคอนโดมิเนียมทุกโครงการ ได้แก่ แฟลกชิพคอนโดมิเนียม 98 Wireless, เดอะไลน์, เดอะ เบส คอนโดมิเนียมแบรนด์ เฮ้าส์ และดี คอนโด
5. การเปิดประตูสู่การลงทุนในต่างประเทศรวมมูลค่า 80 ล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 2,650 ล้านบาท ใน 6 บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ ได้แก่ The Standard, One Night, JustCo, Hostmaker, Monocle และ Farmshelf
6. การพัฒนาด้าน Digital Transformation ใน 2 ด้าน คือ
"ในปี 2561 เราเห็นเทรนด์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะส่งสัญญาณที่ดีให้กับตลาดอสังหาฯ ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับประสบการณ์แปลกใหม่ sharing economy trend มีผลต่อการใช้ชีวิตต่างจากรูปแบบเดิมๆ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะก่อให้เกิดทั้งโอกาสใหม่ๆและการ disruption ต่อหลายธุรกิจ ใครที่สามารถปรับตัว นำเสนอสิ่งที่โดนใจลูกค้าได้ก่อน และเป็นผู้กำหนด trend จะเป็นผู้ชนะในการทำธุรกิจ เราเชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นการขยายตัวของตลาดและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค ดังนั้นในปีนี้เราจึงมุ่งนำเสนอโครงการรวมถึงการบริการที่หลากหลาย สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ ให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ที่สำคัญคือการสานต่อการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศทั้งรายใหม่และเก่า" นายอุทัย กล่าว
สำหรับแนวทางสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในปี 2561 แสนสิริจะก้าวแกร่งครั้งใหญ่สู่ "Tomorrow is Unfolded" ประกอบด้วย
1. รุกเพิ่มตลาดต่างชาติเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีการตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2560 เป็น 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย โดยล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดออฟฟิศในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง รวมทั้งกำลังมองความเป็นไปได้ที่จะขยายสู่ตลาดอื่นๆ เช่น เกาหลี ไต้หวัน และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น
2. สานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย จะมีโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบีทีเอสและโตคิว กรุ๊ป อีกประมาณ 4-6 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 12,000-19,000 ล้านบาท รวมทั้งยังมีแผนเปิดโครงการที่พักอาศัย The Standard Residence และ Monocle Residenceเป็นครั้งแรกของโลก ส่วนในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ JustCo บริษัทได้เตรียมเปิด 4 สาขา โดยจะเปิด 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพฤษภาคม และอาคาร All Seasons Place ในเดือนสิงหาคม โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านแสนสิริเข้าใช้บริการ ส่วน Hostmaker จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ
3. เดินหน้าลุยตลาดทาวน์เฮ้าส์ สอดรับกับเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มซื้อโครงการทาวน์เฮ้าส์มากขึ้นประกอบกับความต้องการของทาวน์เฮ้าส์ในตลาดนั้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปีนี้แสนสิริจะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮ้าส์ใหม่ทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่า 9,600 ล้านบาท
4. สร้างความแตกต่างด้วยดีไซน์ที่รังสรรค์เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตรอบด้าน ด้วยการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเซ็กเม้นต์ใหม่จำนวน 4 โครงการ ที่มีดีไซน์เฉพาะตัวออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Lab Room และ Lab House ที่เราเรียกเป็นการภายในว่า Haus 2025 สำหรับการทดสอบห้องและบ้านเพื่ออนาคต โดยรวมถึงการทดสอบนวัตกรรมและเทคโนโลยี
5. ก้าวสำคัญในการสานต่อ Digital Transformation Chapter 2 โดยมุ่งเน้น 3 ด้านได้แก่
โดยการมุ่งเน้นทั้ง 3 ด้านนี้ จะทำให้เกิดผลงานเป็นรูปธรรมได้แก่
6. การเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต ผ่าน 3 แนวคิด ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อต่อยอดการพัฒนาโครงการและบริการในอนาคต 2) การปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบใหม่ที่สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรพร้อมดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มาร่วมงานกับแสนสิริ หนึ่งในแนวคิดที่แสนสิริใช้ตอนนี้คือ Every Day is Friday ทำให้บุคลากรมีความสุขและมีความกระตือรือร้นในการทำงานในทุกๆ วัน นอกจากนี้ยังมีการนำวิธีการทำงานแบบ Agile way of working มาใช้ โดยเป็นรูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก มีอิสระทุกการทำงาน และเปิดรับทุกความคิดสร้างสรรค์โดยเอาความต้องการลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ และ 3) การสร้างความมั่นคงในการทำงาน (Life-long Employability) มุ่งสร้างเสริมพัฒนาบุคลากรของแสนสิริให้มีคุณค่า มีความสามารถเติบโตไปสู่ความสำเร็จพร้อมกับองค์กรอีกด้วย นอกจากนี้แสนสิริมีแผนเปิดตัวโครงการ "New Generation of Young Designer" เพื่อเปิดรับเด็กรุ่นใหม่ที่พกพาไอเดียที่น่าสนใจมาผนวกกับความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริ เพื่อพัฒนาโครงการและบริการที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
7. เดินหน้าวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน (Sustainability) แสนสิริมุ่งสร้างความยั่งยืนภายในองค์กรผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่
"นับว่าปี 2561 นี้ เป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับแสนสิริ ด้วยทิศทางการรุกตลาดเต็มสปีดด้วยเป้าพรีเซลล์ 45,000 ล้านบาท นับเป็นเป้าหมายที่สูงที่สุดจากทุกปี รวมถึงแผนเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 31 โครงการ รวมมูลค่า 63,200 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าโครงการที่สูงที่สุด แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 12 โครงการรวมมูลค่า 33,500 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 53% บ้านเดี่ยว 8 โครงการมูลค่ารวม 20,100 ล้านบาทคิดเป็น 32% และทาวน์เฮ้าส์รวม 11 โครงการรวมมูลค่า 9,600 ล้านบาทคิดเป็น 15% ซึ่งจากเทรนด์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจัยเกื้อหนุนในทางบวก รวมทั้งทิศทางที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินธุรกิจสำหรับปี 2561 เรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายพรีเซลที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน นอกจากนี้แสนสิริยังพร้อมเดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ผ่านโครงการแนวใหม่ หรือ นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงการสร้างชื่อให้แบรนด์แสนสิริกลายเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามองในตลาดต่างประเทศอีกด้วย" นายอุทัยกล่าวปิดท้าย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit