นายกมล บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ TPBI ผู้นำอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครบวงจรระดับโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม ที่มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 192.91 ล้านบาท ลดลง 51.30% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจาก คำสั่งซื้อถุงหูหิ้วของลูกค้าที่อ่อนตัวลงจากพฤติกรรมการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทและค่าเงินสกุลหลัก ๆ ของโลกที่มีความผันผวน และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่รายได้รวมทำได้ 4,783.90 ล้านบาท ลดลง 4.80% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งมาจากการดำเนินกลยุทธ์ทรานฟอร์เมชั่นด้วยการการปรับเปลี่ยนพอร์ตสินค้า ที่ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปี 2560 โดยมีการลงทุนด้านเครื่องจักรเพื่อพัฒนาสินค้าให้สอดรับกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค เช่น การขยายไลน์สินค้าไปสู่บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับภาคขนส่งเพื่อรองรับธุรกิจ E-Commerce, ถุงใส่ผักผลไม้, ถุงสำหรับใส่ครีมตกแต่งหน้าเค้กและถุงสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปเนื้อสัตว์ เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ในช่วงแนะนำสินค้าแต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ สินค้าในกลุ่ม Flexible Packaging ที่บริษัทฯ มีนโยบายเพิ่มสัดส่วนการขยายก็ทำยอดขายได้ดีขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้มียอดขาย 781 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2559 และปี 2558 ที่ทำได้ 673 ล้านบาทและ 590 ล้านบาทตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานปี 2560 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 25 พฤษภาคม 2561
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน TPBI กล่าวว่า ส่วนภาพรวมการดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากกลยุทธ์ Transformation ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อยกระดับการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกกลุ่ม General Packaging ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเพื่อตอบสนองความต้องการตลาดที่ให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อมและเทรนด์อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง โดยในปีนี้ TPBI ประเมินว่า สัญญาณคำสั่งซื้อสินค้าในกลุ่ม Transformation ยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากบริษัทฯ ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ดังกล่าวและได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อสินค้ากลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับขนส่งพัสดุให้แก่บริษัทขนส่งสินค้ารายใหญ่ของไทย ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือนพฤษภาคมนี้ หรือคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ทดแทนถุงหูหิ้ว ที่มีส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิลในสัดส่วน 80% ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อใหม่จากผู้ประกอบการซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ในประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ Flexible Packaging เพิ่มขึ้น ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม Value Added ที่มีอัตรากำไรที่ดี โดยเพิ่มกำลังการผลิต Multilayer Film อีก2,500 ตันต่อปี จากเดิมมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 9,000 ตันต่อปี และขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคอีก 100 ล้านเมตรต่อปี คาดว่าทั้ง 2โครงการจะเริ่มเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ภายในกลางปี 2561 ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจและสนับสนุนผลการดำเนินงานปีนี้ให้เติบโตเพิ่มขึ้นอีก 10%
"แม้ภาพรวมปี 60 ผลการดำเนินงานจะอ่อนตัวลง เนื่องจากเป็นช่วงของการเริ่มต้น Transformation ธุรกิจ เพื่อปรับพอร์ตการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับทิศทางตลาดโลก จึงจำเป็นต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาสินค้าและแนะนำบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าด้วยทิศทางการดำเนินงานของเราในปีนี้จะทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น หลังเห็นสัญญาณคำสั่งซื้อสินค้าของกลุ่ม Transformation ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่ม Flexible Packaging ก็จะเติบโตได้เช่นกันตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่าภาพรวมผลงานในปีนี้จะทำได้ตามแผนที่วางไว้"
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit