เผย ผลผลิตรวมทั้ง 4 สินค้าเพิ่มขึ้นทุกชนิด โดยเฉพาะ เงาะ เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยปริมาณน้ำเพียงพอ พร้อมติดตามสถานการณ์อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ศกหน้า
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการบูรณาการจัดทำข้อมูลปริมาณการผลิตไม้ผลเอกภาพรอบที่ 1 ปี 2561 ซึ่ง สศก. โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 จังหวัดชลบุรี (สศท.6) และศูนย์สารสนเทศการเกษตร (ศสส.) ร่วมมือกับคณะทำงานสำรวจข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคตะวันออก ประกอบด้วย สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 (สสก.3) จังหวัดระยอง และสำนักงานเกษตรจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด ซึ่งคณะทำงานฯ ได้พยากรณ์ผลผลิตไม้ผลภาคตะวันออก ครั้งที่ 1 ของสินค้า 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง และตราด เพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการวางแผนบริหารจัดการผลไม้ตั้งแต่ต้นฤดู
สำหรับผลพยากรณ์ ปี 2561 ครั้งที่ 1 (ข้อมูล ณ 4 ธันวาคม 2560) พบว่า เนื้อที่ให้ผลของไม้ผลทั้ง 4 ชนิด มีจำนวน 622,126 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีจำนวน 605,481 ไร่ (เพิ่มขึ้น 16,645 ไร่ หรือ ร้อยละ 2.75) โดยทุเรียน เพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 5.42 มังคุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.76 และเงาะ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.97 ส่วนลองกอง ลดลงร้อยละ 3.73
ผลผลิตรวมทั้ง 4 สินค้า คาดว่าจะมีประมาณ 802,973 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีจำนวน 792,113 ตัน (เพิ่มขึ้น 10,860 ตัน หรือ ร้อยละ 1.37) โดยผลผลิตจะออกมากช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ต่อเนื่องถึงกลางเดือนมิถุนายน คาดการณ์ว่าผลผลิตรวมของทั้ง 4 สินค้าจะเพิ่มขึ้นทุกชนิด โดยเงาะ จะเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 3.48 เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยปริมาณน้ำเพียงพอ รองลงมาได้แก่ มังคุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.23 ทุเรียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.54 และลองกอง เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.04
ผลผลิตต่อไร่ เงาะ และ ลองกอง คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ประกอบกับในปีที่ผ่านมาไม้ผลบางต้นไม่ติดผลหรือให้ผลผลิตน้อยทำให้มีเวลาในการพักต้นสะสมอาหารต้นสมบูรณ์ขึ้นส่วนหนึ่ง ในขณะที่ผลผลิตต่อไร่ทุเรียน และ มังคุด มีแนวโน้มลดลงเนื่องจากในปีที่ผ่านมาติดดอกออกผลมากจึงคาดว่าต้นมังคุดจะพักสะสมอาหาร อีกทั้งปีที่ผ่านมา ต้นทุเรียนประสบปัญหาเชื้อราไฟทอปเธอราที่ระบาด ทำให้ทุเรียนรากโคนเน่ายืนต้นตาย ขยายเป็นพื้นที่กว้างทั้งจังหวัดจันทบุรีและตราด โดยเฉพาะแหล่งผลิตใหญ่ในจังหวัดจันทบุรีได้รับผลกระทบมากทำให้จำนวนต้นต่อไร่ที่ให้ผลผลิตได้ลดลง
ด้านนายสุชัย กิตตินันทะศิลป์ ผู้อำนวยการ สศท.6 กล่าวเสริมถึงสถานการณ์ในขณะนี้ว่า ทุเรียน ออกดอกแล้วประมาณร้อยละ 60 ผลผลิตที่ติดผลในช่วงแรกเป็นทุเรียนพันธุ์เบาและทุเรียนที่ใช้สารกระตุ้นการออกดอก โดยจะเป็นพันธุ์กระดุมและหมอนทองบางส่วน เงาะ ออกดอกแล้วประมาณร้อยละ 2 ด้าน มังคุด ออกดอกแล้วประมาณร้อยละ 3 ขณะที่ ลองกองยังไม่ออกดอก ซึ่งลองกองสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี ถ้าหากสภาพต้นที่สลดขาดแคลนน้ำ เนื่องจากในช่วงปลายปี 2560 มีฝนตกอย่างสม่ำเสมอ ต้นลองกองยังไม่สลดจึงยังไม่มีพัฒนาการการออกดอก
สำหรับแนวทางบริหารจัดการผลไม้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2561 ยังคงเน้นเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยให้จังหวัดคำนึงถึงการบริหารจัดการผลไม้ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพซึ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของผลไม้ ควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลไม้ตลอดฤดูกาลผลิต ด้านเชิงคุณภาพ เช่น การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลผลิตสู่มาตรฐาน (GAP) และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยให้รวมกลุ่มเพื่อผลิตไม้ผลในลักษณะแปลงใหญ่ อบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพการผลิต เป็นต้น ส่วนในเชิงปริมาณ เช่น การเชื่อมโยงตลาดล่วงหน้า การจัดทำแผนบริหารจัดการผลผลิตส่วนเกิน เป็นต้น ทั้งนี้จังหวัดจะจัดทำรายละเอียดของแผนบริหารจัดการผลไม้ในพื้นที่ โดยมี คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) เป็นแกนหลักในการกลั่นกรอง เชื่อมโยง บูรณาการ แผนงานหรือโครงการต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากสภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนอาจทำให้ปริมาณผลผลิตไม้ผลเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลง ได้อีก เนื่องจากปีนี้สภาพอากาศในช่วงแรกของภาคตะวันออกมีฝนตกค่อนข้างมากในเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ส่งผลต่อการติดดอกออกผลของผลไม้โดยเฉพาะมังคุด เงาะ และลองกองที่ออกดอกล่าช้า จึงยังไม่เห็นพัฒนาการที่ชัดเจน โดยดอกมังคุด และเงาะจะเห็นผลได้ชัดเจนอีกครั้งหลังกลางเดือนธันวาคมเป็นต้นไป ซึ่ง สศท.6 จะได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและลงพื้นที่สำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 จังหวัดชลบุรี โทร. 038 352 435 หรืออีเมล [email protected]
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit