“ทุ่งคา” ขยายธุรกิจเต็มสูบ หลังเพิ่มทุน 1.4 พันล้านบาท

17 Jul 2017
บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) เตรียมขยายธุรกิจเหมืองแร่ พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ สร้างความเติบโต และมั่งคงในอนาคต ลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเตรียมเพิ่มทุนรอบ 2 เพื่อนำเงินมาลงทุนกว่า 1.4 พันล้านบาท
“ทุ่งคา” ขยายธุรกิจเต็มสูบ หลังเพิ่มทุน 1.4 พันล้านบาท

นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทุ่งคาฮาร์เบอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เตรียมขยายการลงทุนใน 3 ธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจเหมืองแร่ ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างความเติบโตให้กับบริษัทฯอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ซึ่งคาดว่าจะระดมทุนได้ ประมาณ 1,400 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่และพลังงานทางเลือก ประมาณ 800 ล้านบาท และลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 400 ล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนวันของบริษัทฯ

สำหรับธุรกิจเหมืองแร่ จะมีการลงทุนในสหภาพเมียนมา ซึ่งบริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาตั้งแต่กลางปี พ.ศ.2559 ในการรับจ้างบริหารและดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรเพื่อผลิตดีบุกแบบครบวงจรให้กับ 2 บริษัท รวม 4 พื้นที่ ขนาดเนื้อที่รวมประมาณ 2,290.14 เอเคอร์ ในเมืองมะริด (Myeik) โดยเริ่มผลิตดีบุกตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา และมีเป้าหมายกำลังการผลิตที่ 120 ตันต่อเดือน

นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทที่มีแหล่งแร่ดีบุกที่มีคุณภาพอีกหลายพื้นที่ในเมืองมะริด (Myeik) เมืองทวาย (Dawei) และรัฐฉาน (Shan State) อีกทั้งยังมีแผนการที่จะสร้างโรงแต่งแร่ดีบุกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่แร่ที่ผลิตได้จากการทำเหมืองดีบุก

ขณะเดียวกัน การลงทุนใน สปป.ลาว ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับ บริษัท Sojitz Corporation ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น และบริษัทเทรดดิ้งที่มีการลงทุนในหลายธุรกิจทั่วโลกรวมทั้งมีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจการจำหน่ายปุ๋ยเป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย เพื่อศึกษาเทคโนโลยีการทำเหมืองโปแตส การตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการลงทุนเหมืองโปแตสในพื้นที่แขวงกำแพงนครหลวงเวียงจันทน์ (Vientiane Municipality) ซึ่งเหมืองนี้มีความพร้อมในการผลิตแล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปี พ.ศ. 2560

นายวิจิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2560 นี้ ถือเป็นปีที่ดีมาก เนื่องจากบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจเหมืองแร่มาเป็นเวลากว่า 111 ปี โดยเริ่มต้นจากการทำเหมืองแร่ดีบุกในพื้นที่อ่าวภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2449 โดยเริ่มต้นจากการทำเหมืองแร่ดีบุกในพื้นที่อ่าวภูเก็ต โดยกัปตัน เอ็ดเวิร์ด ที ไมล์ส ชาวออสเตรเลีย ผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ซึ่งได้เริ่มมีแนวคิดจากการสังเกตเห็นวิธีการทำเหมืองแร่ของชาวจีนที่ภูเก็ตในปี 2448 จึงได้พัฒนาเครื่องมือและลงทุนในการทำธุรกิจนี้

บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนในเหมืองทอง เหมืองเงิน และเหมืองทองแดง ที่มีศักยภาพและปริมาณสำรองสูงมาก ซึ่งจะทำให้รับผลตอบแทนการลงทุนสูง และได้เข้าสำรวจทางธรณีวิทยาในพื้นที่ที่มีศักยภาพ กับหลายบริษัทในพื้นที่แขวงเวียงจันทน์(Vientiane) แขวงจำปาศักดิ์ (Champasak) และแขวงอัตตะปือ(Attapeu) รวม 5 พื้นที่

ส่วนการขยายธุรกิจพลังงานทดแทน บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับบริษัทผู้ประกอบกิจการด้านพลังงานทดแทน เพื่อพัฒนาธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศไทยและต่างประเทศ ขณะนี้ได้ศึกษาวิเคราะห์สถานะของกิจการพลังงานที่ผลิตไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 2 โครงการกำลังการผลิตรวมประมาณ 10 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปี พ.ศ. 2560 โดยมีเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยประมาณ 10 – 20 เมกะวัตต์ ภายในปี พ.ศ. 2561 ซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนและเสริมความมั่นคงและแข็งแรงให้กับบริษัทฯ

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ มีแผนการที่จะเปิดโครงการ The Bay เฟส 2 และ 3 ปลายปี พ.ศ. 2560 ในจังหวัดภูเก็ต เป็นโครงการทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว มีมูลค่าโครงการรวม 520 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี พ.ศ. 2561 ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการ The Bay เฟส 1 มูลค่าโครงการ 356 ล้านบาท ซึ่งมีการส่งมอบไปแล้วกว่า 70% และโครงการ The Bay District มูลค่าโครงการ 60 ล้านบาท ซึ่งมีการส่งมอบไปแล้วมากกว่า 50%