ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเกือบครึ่ง (44%) เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวสู่สาธารณะ และเมื่อข้อมูลส่งไปยังโดเมนสาธารณะ ก็จะถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ เกินควบคุม ผู้ใช้จำนวนหนึ่งในห้ายอมรับว่าได้แชร์ข้อมูลเปราะบางกับคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกันดี รวมถึงคนแปลกหน้า จึงทำให้ควบคุมการนำข้อมูลไปใช้ได้ยาก สาเหตุที่ทำให้ตกเป็นเหยื่อการจารกรรมตัวตนและการโจมตีทางการเงิน เกิดจากการแชร์รายละเอียดการเงิน/การจ่ายเงิน (37%) การสแกนหน้าพาสปอร์ต ใบขับขี่ และเอกสารอื่นๆ (41%) และการเปิดเผยพาสเวิร์ด (30%)
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ใช้ไม่เพียงแต่แชร์ข้อมูลเท่านั้น ยังแชร์ดีไวซ์ที่เก็บข้อมูลมีค่าอีกด้วย ผู้ใช้หนึ่งในสิบ (10%) แชร์รหัส PIN ที่ใช้เข้าเครื่องกับคนแปลกหน้า ผู้ใช้หนึ่งในห้า (22%) ไม่ล็อกเครื่องและทิ้งเครื่องไว้ในคนอื่นเข้าถึง และผู้ใช้เกือบหนึ่งในสี่ (23%) เอาเครื่องตัวเองให้คนอื่นหยิบยืมใช้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
อังเดรย์ โมโคล่า หัวหน้าฝ่ายธุรกิจสำหรับคอนซูมเมอร์ แคสเปอร์สกี้ แลป กล่าวว่า "การแชร์ข้อมูลส่วนตัวมากเกินไปกับคนอื่นๆ เป็นพฤติกรรมที่นำภัยมาสู่ตัว โลกออนไลน์ในปัจจุบัน การแชร์ข้อมูลให้คนอื่นรู้เป็นเรื่องง่ายมาก ทำได้หลายช่องทาง แต่ทันทีที่คุณเปิดเผยข้อมูลสำคัญและเปราะบาง ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าข้อมูลจะส่งไปไหน ถูกนำไปใช้อย่างไร"
ผลการค้นคว้ายังพบว่า เยาวชนมักแชร์รูปส่วนตัวออนไลน์มากกว่าวัยอื่น ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุระหว่าง 16-24 ปี จำนวน 61% ยอมรับว่าได้แชร์รูปจริง ขณะที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่อายุมากกว่า 55 ปี มีจำนวนเพียง 38% เช่นเดียวกับการแชร์ข้อมูลการเงิน เยาวชน 42% แชร์ข้อมูลการเงิน/การจ่ายเงิน ขณะที่ผู้ใช้รุ่นใหญ่มีเพียง 27% เท่านั้น
อังเดรย์กล่าวเสริมว่า "การหวังให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตหยุดแชร์รูป แชร์รายละเอียดส่วนตัวและข้อมูลอื่นให้คนอื่นรู้ คงเป็นไปได้ยาก เราจึงขอให้ผู้ใช้คิดให้รอบคอบก่อนแชร์ข้อมูลสำคัญสู่สาธารณะ และควรมีมาตรการเพื่อปกป้องดูแลความปลอดภัย ไม่ให้ข้อมูลและดีไวซ์ตกอยู่ในมือมิจฉาชีพ"ข้อมูลเพิ่มเติม• รายงานเรื่อง "Stranger danger: the connection between sharing online and losing the data we love"https://blog.kaspersky.com/my-precious-data-report-three/16883/
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit