"ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)" เปรียบเสมือน Gateway สู่คาบสมุทรอินโดจีน เป็นทำเลยุทธศาสตร์สำคัญที่ไทยยังมีโอกาสพัฒนาให้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจชั้นแนวหน้าดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนและใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต หากเร่งรัดให้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่กลางปีนี้ไปจะส่งให้เศรษฐกิจภูมิภาคเติบโตเพิ่มได้อีกร้อยละ 1.7 ต่อปี
ศูนย์วิเคราะห์ฯ ได้ประเมินผลแผนการลงทุนผ่านตารางปัจจัยการผลิต (I-O table ปี 2553) ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจของภาคตะวันออก เมื่อรัฐทยอยอัดฉีดเม็ดเงินพัฒนาถนน รถไฟ ท่าเรือ และสนามบิน เพื่อส่งให้ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง เป็นศูนย์กลางการขนส่ง กระจายสินค้า ท่องเที่ยว และที่ตั้งอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) คว้าโอกาสผลักตนเองเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตและเติบโตตามอุตสาหกรรมเป้าหมายขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนได้สำเร็จ จะดันให้รายได้ของ SME ซึ่งคาดว่าปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1.02 ล้านล้านบาทต่อปี เติบโตขึ้นเป็น 1.08 ล้านล้านบาทในปี 2561 โดย SME ดาวเด่นที่ได้รับอานิสงค์สูงสุดคือ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่ากลุ่มนี้จะมีส่วนแบ่งจากรายได้ส่วนเพิ่มถึงร้อยละ 11 รองลงมาคือธุรกิจค้าปลีกเครื่องอุปโภค/บริโภค ได้ส่วนแบ่งร้อยละ 9 ตามด้วย 3 ประเภทธุรกิจที่ได้รับส่วนแบ่งเท่าๆ กันที่ร้อยละ 8 คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเหล็ก ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหรือติดตั้งงานระบบ และธุรกิจจำหน่ายเครื่องจักรกล อันดับต่อมาคือ ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้ส่วนแบ่งร้อยละ 7 ต่อด้วยธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีส่วนแบ่งร้อยละ 6 และสุดท้ายได้ส่วนแบ่งที่ร้อยละ 4 เท่าๆ กันคือ งานบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์และอสังหาริมทรัพย์ โดยธุรกิจ 10 ประเภทที่กล่าวข้างต้นมีส่วนแบ่งรวมกันกว่าร้อยละ 70 ของรายได้ส่วนเพิ่มที่จะส่งถึงมือ SME
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าแม้มีโอกาสปูพรมแดงมาให้ แต่ปัญหาสำคัญยังคงอยู่ที่การปรับตัวของผู้ประกอบการ SME ซึ่งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญ ช่วยเหลือ และติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องการนำนวัตกรรม การตลาด Online E-Commerce และ E-Payment มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการรายเล็ก ยังถูกรุมเร้าจากปัจจัยภายในและภายนอก เช่น การมีเงินทุนจำกัดหรือเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัวช้าและกระจุกอยู่บางพื้นที่ ผู้สนใจลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายยัง ไม่มีกรอบระยะเวลาการลงทุนที่ชัดเจน กดดันให้ผลิตภัณฑ์และการดำเนินธุรกิจยังอยู่กับที่ด้วยวิธีการเดิมๆ ซึ่งหากเหตุการณ์และความกังวลนี้ยังดำเนินต่อไปในระยะยาว เมื่อผนวกเข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงจากอดีตไปอย่างรวดเร็ว ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ การรอความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องความสามารถในการแข่งขันได้ เพราะทัศนคติเชิงบวก ความไม่ยอมแพ้ ไม่นิ่งนอนใจและพยายามปรับตัวให้สินค้าตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงใจอย่างรวดเร็วนั้นจะมีผลสัมฤทธิ์กว่าและเป็นครื่องมือที่ดียิ่งยวดที่จะช่วยให้ SME รอดพ้นวิกฤตอย่างถาวร ยังประโยชน์ให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้สำเร็จในที่สุด
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit