ไทยเน้นย้ำหนุนอาเซียนรวมเป็นหนี่ง สานต่อแผนงานโครงการเพื่อความยั่งยืนภาคเกษตรและป่าไม้ ในฐานะเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก หวังกระตุ้นนักลงทุนและผู้ประกอบการลงทุนในภูมิภาคเพิ่มขึ้น

28 Sep 2017
วันนี้ (28 ก.ย.60) เวลา 09.00 น. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 39 ณ โรงแรมแชงกรีล่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยผู้เข้าร่วมประกอบด้วย รัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านการเกษตรและป่าไม้ และเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับปลัดกระทรวงและเจ้าหน้าที่อาวุโส ของประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม รองเลขาธิการอาเซียน องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วมงาน

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในปี 2560 เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งประชาคมอาเซียนด้วย ซึ่งที่ผ่านมาสมาชิกอาเซียนได้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดอย่างมีเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2560 คือ ประชาคมอาเซียน ซึ่งมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การจะเป็นเช่นนี้ได้ เราจะต้องเพิ่มความพยายามและมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ดังกล่าว เราต้องช่วยกันทำให้ประชาคมอาเซียนดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการค้าจากต่างประเทศมากขึ้น พร้อมทั้งยังคงปกป้องผลประโยชน์ของภูมิภาคไปด้วย ในขณะเดียวกัน เราต้องร่วมกันส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน และพยายามไปให้ถึงการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป้าหมายการขจัดความหิวโหยของสหประชาชาติ

"ภาคการเกษตรเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของประเทศสมาชิกอาเซียน เนื่องจากเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ และเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุดของโลก ดังนั้น การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของประชาคมอาเซียน ถือเป็นวาระสำคัญระดับชาติของสมาชิกอาเซียนทุกประเทศเราจึงจำเป็นต้องมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้สามารถเผชิญกับสิ่งท้าทายที่สำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ซึ่งรวมถึงการขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร เป็นต้น ในโอกาสนี้ เราควรกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้น เพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2025 และเป็นไปตามวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่า "ภาคอาหาร การเกษตร และป่าไม้ มีความสามารถในการแข่งขัน มีส่วนร่วมมีความแข็งแกร่ง และยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก บนฐานของการตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน นำไปสู่ความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ และความมั่งคั่ง ในประชาคมอาเซียน" พลเอก ฉัตรชัย กล่าว

ด้านพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ เป็นการประชุมประจำปีของรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านการเกษตร และป่าไม้ ของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยจะหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยในปี 2560 นี้ เป็นวาระที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 39 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 30 กันยายน 2560 โดยระหว่างวันที่ 25 – 27 กันยายน เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และวันที่ 28 – 29 กันยายน เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรี ส่วนวันที่ 30 กันยายน เป็นการศึกษาดูงานของคณะผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุม ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้จัดศึกษาดูงาน ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการศึกษาทดลองด้านการเกษตรพื้นที่ภาคเหนือเพื่อเผยแพร่แก่ราษฎรนำไปปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง

พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับวาระการประชุมที่สำคัญครั้งนี้จะเป็นการติดตามผลการดำเนินงาน กำหนดนโยบายกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการ ให้ความเห็นชอบมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรต่าง ๆ ในสาขาเกษตรและป่าไม้ เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนนำไปปรับใช้ภายในประเทศ จะมีความเชื่อมโยงและสนับสนุนนโยบายอาเซียนในการเป็นภูมิภาคที่มีสินค้าเกษตรและอาหารที่ปลอดภัยและเพียงพอ มีความเป็นเอกภาพ ทั้งด้านการผลิตและการค้า และปรับตัวได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น การร่วมกันกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตร ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ การกำหนดค่าสารพิษตกค้าง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลไทยโดยกระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญและส่งเสริมเกษตรกรผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย รวมถึงการผลักดันแผนขับเคลื่อนนโยบายประมงร่วมประชาคมอาเซียนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังในเวทีนี้ด้วย

นอกเหนือจากการประชุมแล้ว ประเทศไทยยังใช้โอกาสนี้ เทิดพระเกียรติและเผยแพร่พระราชกรณียกิจและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่ได้ทรงงานด้านการเกษตร จนทำให้ภาคการเกษตรของประเทศไทยมีการพัฒนาและมีความก้าวหน้า สามารถนำพาเกษตรกรไทยให้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้แก่รัฐมนตรีและผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมได้รับทราบผ่านการจัดแสดงนิทรรศการภายใต้หัวข้อ 1) การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน และ 2) ศาสตร์พระราชานำพาเกษตรไทย