นายแชมป์ สุทธิพงษ์ชัย ผู้จัดการหุ้นส่วน บริษัท ครีเอทีฟเวนจอร์ จำกัด (Creative Ventures) ซึ่งเป็นธุรกิจกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capitalist : VC) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวการลงทุนกองทุนร่วมลงทุนกองที่สอง มูลค่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ ประมาณ 1,650 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปลงทุน ในธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่ตั้งอยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley) สหรัฐอเมริกา โดยเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่จะเปลี่ยนโลก (Deep technology) เพื่อช่วยให้มนุษย์มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น และแก้ไขสิ่งที่จะเป็นแนวโน้มปัญหาสำคัญของโลก
ธุรกิจที่กองทุน สนใจเข้าลงทุนนั้น จะต้องอยู่ในเมกกะเทรนด์ (Mega Trend)หรือแนวโน้มใหญ่ของโลกอนาคตใน 3 ด้าน ประกอบด้วย ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยดูแลคุณภาพชีวิตประชากรผู้สูงวัย , ธุรกิจเทคโนโลยีที่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และธุรกิจที่ดูแลหรือแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ ภาวะโลกร้อน (Climate change) ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับภาคการผลิตอุตสาหกรรม การเกษตร และการบริการดูแลสุขภาพ
"ใน ซิลิคอนวัลเลย์ จะเป็นศูนย์รวมของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีขั้นสูง ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI- Artificial Intelligence หุ่นยนต์,คอมพิวเตอร์ วิชั่น ,เทคโนโลยีเซนเซอร์ขั้นสูง และชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อตอบสนองการดำเนินธุรกิจในสาขาต่างๆ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ต้องการเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจและตลาด เทคโนโลยีขั้นสูงที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนโลกในช่วงต่อจากนี้
ด้วยเหตุนี้ ครีเอทีฟเวนจอร์ จึงตั้งกองทุนเพื่อเข้าร่วมลงทุนใน บริษัทสตาร์ทอัพ ในสหรัฐอเมริกา ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงและยังไม่เคยเกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังได้จัดหาบริการเทคโนโลยีเหล่านี้ ให้แก่ ธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้มีโอกาสและสิทธิพิเศษ ในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยล่าสุดด้วย นับเป็นการสร้างสะพานเชื่อมระหว่าง ซิลิคอนวัลเลย์ กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี" นายแชมป์ กล่าว
นายแชมป์ ระบุด้วยว่า จุดเด่นของกองทุน คือการที่มีพาร์เนอร์ผู้บริหารกองทุนที่มีความสามารถ เชี่ยวชาญทั้งการเสาะหาธุรกิจและเจรจาเข้าร่วมทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่น่าสนใจและมีอนาคต มีความสามารถในการคำนวณผลตอบแทน วิธีการตรวจสอบธุรกิจ และการเพิ่มความสามารถของสตาร์ทอัพ โดยนอกจากการร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพแล้ว ยังเข้าไปร่วมช่วยพัฒนาธุรกิจให้แก่สตาร์ทอัพด้วย และพร้อมที่จะใช้ความรู้เพื่อแก้ปัญหาเชิงลึกซึ่งถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย
ด้านนาย Alastair Trueger หุ้นส่วนผู้ก่อตั้งครีเอทีฟเวนจอร์ กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายของกองทุนร่วมลงทุน คือ นักลงทุนที่มีความมั่งคั่ง เห็นโอกาสและมีความเข้าใจในเทรนการลงทุนในสตาร์ทอัพที่จะเปลี่ยนแปลงโลก โดยนักลงทุนไม่เพียงแต่จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยและปูทางไปสู่การลงทุนในซิลิคอนวัลเลย์ อีกด้วย โดยที่ผ่านมา ครีเอทีฟเวนจอร์ ประสบความสำเร็จในการจัดหารูปแบบที่ดีที่สุด เพื่อใช้ในการวางระบบให้แก่ สตาร์ทอัพรวมทั้งการเข้าไปช่วยในการวิจัยและพัฒนา (R & D ) ในเชิงพาณิชย์
"ความได้เปรียบของ ครีเอทีฟเวนจอร์ คือ การที่หุ้นส่วนและ ผู้ก่อตั้งกองทุนมีประสบการณ์ผ่านการทำงานมาทั้งฝั่งการเป็นสตาร์ทอัพ และฝั่งเจ้าของธุรกิจ ดังนั้น นอกจากการเข้าร่วมลงทุนแล้วเรายังช่วยเหลือด้านการขยายตลาดของสตาร์ทอัพ เพื่อทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ดี และให้ผลตอบแทนได้ในระยะยาว" Alastair Trueger ระบุ
สำหรับกองทุนร่วมลงทุนกอง 2 ที่ตั้งขึ้นนี้ ได้มีนักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์และเห็นโอกาสในการลงทุน ที่ตอบรับการเข้าลงทุนแล้ว คือ คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย
นอกจากนี้ยังได้รับการตอบรับจาก คุณสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทมิลล์คอน สตีล จำกัด(มหาชน)หรือ MILL ผู้นำอุตสาหกรรมเหล็กแปรรูปในประเทศ ซึ่งได้เข้าไปลงทุนใน Builk บริษัทสตาร์ทอัพ ที่มีนวัตกรรมเกี่ยวกับการก่อสร้างชั้นนำของไทย สำหรับการเข้าร่วมลงทุนในกองทุนร่วมลงทุนของ ครีเอทีฟเวนเจอร์ ครั้งนี้ เป็นการลงทุนทั้งในส่วนตัวและในส่วนของบริษัท โดยมีเป้าหมายในการกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นการลงทุนที่ยังไม่มีในภูมิภาคนี้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ครีเอทีฟเวนเจอร์ ประสบความสำเร็จในการเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพในซิลิคอนวัลเลย์ อาทิ บริษัท Dishcraft ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่สร้างนวัตกรรมหุ่นยนต์ที่ปฎิบัติงานในห้องครัวที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งเข้ามาช่วยแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนในธุรกิจบริการด้านโรงแรม ภัตตาคาร และธุรกิจเอนเตอร์เทนเม้นต์ขนาดใหญ่ จนได้รับการยอมรับจากผู้นำในธุรกิจนี้
นอกจากนี้ ยังได้เข้าลงทุนใน ALICE Technologies ซึ่งเป็นการสร้างระบบ AI ซอฟต์แวร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การจัดการการก่อสร้างในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 4% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดและลดเวลาในการก่อสร้างลง 14% ทำให้ประหยัดทั้งในส่วนของ เจ้าของโครงการหรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ในการนี้ ครีเอทีฟเวนเจอร์ ได้นำเทคโนโลยีของ ALICE มาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้ร่วมมือกับบริษัทอนันดาฯซึ่งเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยอีกด้วย
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit