จากสถิติ ผู้หญิง 100 คน พบว่าเป็นโรคนี้กันอย่างน้อย 15 คน และพบว่าร้อยละ 50 ของผู้หญิงที่มีบุตรยากจะเป็นโรคนี้ กลุ่มเสี่ยงมักเป็นผู้หญิงที่เริ่มมีเมนส์ครั้งแรกเร็ว หรือเข้าสู่วัยทองช้ากว่าปกติ ผู้หญิงที่มีเมนส์ออกมาก และมานานหลายวัน รวมทั้งผู้หญิงที่มีเมนส์ถี่ๆ มีมารดา พี่สาว หรือน้องสาวเป็นโรคนี้ สำหรับกลุ่มช่วงอายุที่ตรวจพบเป็นโรคนี้บ่อย มักเป็นสาวโสดช่วงอายุ 25-35 ปี
รศ.นพ.อัมพัน เฉลิมโชคเจริญกิจ หัวหน้าสาขา วิชาการใช้กล้องเพื่อส่องตรวจและรักษาทางนรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า ในปัจจุบันโรคนี้พบได้บ่อยขึ้น เนื่องจากแนวโน้มของผู้หญิงไทยแต่งงาน และมีบุตรช้า
มีทฤษฎีที่อธิบายสาเหตุของการเกิดโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ แต่ทฤษฎีที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดระบุว่า เกิดจากการไหลย้อนกลับของเมนส์เข้าสู่ช่องท้องบริเวณอุ้งเชิงกราน ร่วมกับปัจจัยทางพันธุกรรมและระบบภูมิคุ้มกันที่ส่งเสริมทำให้เกิดโรคนี้ เนื่องจากโดยทั่วไปเยื่อบุโพรงมดลูกจะตอบสนองต่อฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นรอบๆ ซึ่งจะหนาขึ้นเพื่อพร้อมต่อการฝังของตัวอ่อนเมื่อมีการตั้งครรภ์ หากไข่ที่ตกในเดือนนั้นและไม่ได้รับการปฏิสนธิกับน้ำเชื้อของเพศชาย (สเปิร์ม) หรือไม่มีการฝังของตัวอ่อน เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออกมาผ่านช่องคลอด เกิดเป็นเมนส์ในแต่ละรอบเดือน ดังนั้น เมนส์จึงเป็นเลือดประจำเดือนที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ร่วมกับเลือดที่ออกจากบาดแผลที่เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกนั้นๆ
ดังนั้น คุณผู้หญิงท่านใดที่มีเมนส์มาก และปากมดลูกแคบ จึงทำให้เมนส์ที่ไหลออกมาบางส่วนไหลท้นเข้ามาอยู่ในช่องท้องบริเวณอุ้งเชิงกราน เนื่องจากเมนส์ซึ่งมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกมา บางส่วนยังเป็นเซลล์ที่มีชีวิต เมื่อไหลท้นเข้ามาในช่องท้องบริเวณอุ้งเชิงกราน จึงสามารถเกาะติดและเจริญตามอวัยวะต่างๆ ในอุ้งเชิงกรานได้ เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกเหล่านี้ ยังคงตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในแต่ละรอบเดือน จึงเกิดการหลุดลอกทุกรอบเดือนตามอวัยวะต่างๆ ที่มันเกาะติด ทำให้พื้นผิวของอวัยวะเหล่านี้ เกิดบาดแผลอักเสบจากการหลุดลอกทุกรอบเดือน จึงทำให้เกิดพังผืดระหว่างอวัยวะที่อยู่ใกล้เคียง เกิดการดึงรั้งอวัยวะต่างๆ ในอุ้งเชิงกราน และมีการสะสมของเลือดเมนส์ในบริเวณดังกล่าวทุกเดือน เลือดเก่าๆ ที่สะสมมักจะมีสีดำข้นคล้ายช็อกโกแลต และกลายเป็นถุงน้ำ จึงนิยมเรียกโรคนี้ว่า โรคช็อกโกแลตซีสต์ (ซีสต์ เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ แปลว่า ถุงน้ำ) การเกิดแผลอักเสบขณะที่มีเมนส์ และพังผืดที่ดึงรั้งอวัยวะต่างๆ ในอุ้งเชิงกราน ทำให้ผู้หญิงที่เป็นโรคนี้ มีปวดเมนส์อย่างรุนแรง และยังอาจมีอาการปวดอื่นๆ ที่สัมพันธ์กับการมีเมนส์ เช่น ปวดร้าวที่หลังหรือที่ขา ปวดถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะอย่างบอกไม่ถูกในขณะที่มีเมนส์ บางรายอาจมีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือบางรายอาจไม่เคยมีอาการปวดเลย แต่กลับมีปัญหามีบุตรยาก
เยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปเจริญผิดที่นั้น รศ.นพ.อัมพัน อธิบายว่า มี 2 พื้นที่ใหญ่ๆ คือ 1.รอยโรคอยู่ในเนื้อมดลูก (Endometriosis interna, adenomyosis ) หมายถึง รอยโรคเข้าไปอยู่ในกล้ามเนื้อมดลูกแทนที่จะอยู่เฉพาะที่ผิวด้านในของโพรงมดลูก อาจอยู่เป็นกลุ่มก้อนเฉพาะที่ หรือกระจายทั่วกล้ามเนื้อมดลูกก็ได้ ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกหนา โตขึ้นคล้ายกับโรคเนื้องอกมดลูก 2. รอยโรคอยู่นอกมดลูก (Endometriosis externa ) หมายถึง รอยโรคกระจายไปฝังตัวอยู่ที่บริเวณอวัยวะอื่นๆ นอกเหนือจากในเนื้อมดลูก เช่น รังไข่ ท่อนำไข่ เยื่อบุช่องท้อง ลำไส้ ปอด เป็นต้น
รอยโรคของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่อยู่นอกมดลูก ที่พบได้บ่อย ได้แก่ 1.ชนิดที่เป็นบริเวณเยื่อบุช่องท้องในอุ้งเชิงกราน มักทำให้เกิดพังผืดยึด 2. ชนิดที่เป็นบริเวณรังไข่ รอยโรคบริเวณนี้มักกลายเป็นถุงน้ำ ที่เรียกว่า "ช็อกโกแลตซีสต์" 3.ชนิดที่รอยโรคกินลึกเหมือนรากพืช (Deep Infiltrating Endometriosis) มักทำให้เกิดพังผืดกินลึกเข้าไปในอวัยวะที่อยู่ใต้เยื่อบุช่องท้องบริเวณอุ้งเชิงกราน เช่น ท่อไต เส้นประสาท และเส้นเลือด เป็นต้น รอยโรคตำแหน่งนี้ อาการปวดรุนแรงมักมีสัมพันธ์กับความลึกของรอยโรค
คุณผู้หญิงจำนวนมากมีอาการปวดท้องเมนส์นานนับสิบปี โดยไม่ทราบว่าการไม่มาพบแพทย์จะทำให้โรคทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึง รศ.นพ.อัมพัน ยกตัวอย่างว่า รอยโรคที่สะสมนับสิบปีโดยไม่ได้รับการรักษา ทำให้อวัยวะสำคัญต่างๆ ในอุ้งเชิงกรานถูกทำลายจากรอยโรค เช่น มดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ เมื่ออวัยวะสืบพันธุ์เหล่านี้ถูกทำลาย จึงทำให้มีบุตรยาก นอกจากนี้ อาจทำให้ท่อไตตีบตัน เกิดพังผืดหนากินทะลุกระเพาะปัสสาวะ เกิดการอักเสบ หากไปเกาะอยู่ที่ลำไส้ ก็สามารถทำให้ลำไส้ตีบตัน และกินทะลุลำไส้ ในกรณีที่ไปเจริญบริเวณปอด อาจทำให้ผู้ป่วยไอเป็นเลือด หรือปอดแตกได้เช่นกัน ดังนั้น การพบสูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งการรักษามีทั้งการผ่าตัด และการใช้ยา
สำหรับการรักษาด้วยยา มักจะใช้ในผู้หญิงที่มีอาการไม่รุนแรง หรือเคยผ่าตัดมาแล้วไม่ดีขึ้น และใช้เสริมหลังการผ่าตัด เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำในอนาคต มียาหลายชนิดที่นิยมใช้ในการรักษาโรคนี้ในปัจจุบัน แต่ยาที่ดีควรเป็นยาที่มีผลข้างเคียงต่ำ โดยมีระดับเอสโตรเจนต่ำหรือไม่มีเลย
หากรักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล มีรอยโรครุนแรง หรือผู้ป่วยที่ต้องการมีบุตร มีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เพื่อเลาะรอยโรคออก เนื่องจากการรักษาด้วยยา จะยับยั้งการตกไข่ ทำให้มีบุตรไม่ได้ชั่วคราว สำหรับการรักษาด้วยการผ่าตัด รศ.นพ.อัมพัน แนะนำผู้ป่วยให้เลือกผ่าตัดผ่านกล้องโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะแผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว เสียเลือดน้อย โอกาสเกิดพังผืดต่ำ และสามารถเก็บงานละเอียดได้ดี ทั้งสามารถตัดเลาะรอยโรคในส่วนที่แอบซ่อนลึกๆ ได้หมด และดีกว่าการผ่าตัดเปิดหน้าท้องอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีการรักษาโดยการใช้ยาทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง รอคิวผ่าตัดนาน และการผ่าตัดอาจไม่สามารถตัดออกได้ทั้งหมด ยาก็จะมาช่วยรักษารอยโรคที่เหลือ ตลอดจนสามารถป้องกันการเกิดซ้ำในอนาคต
"โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีอัตราการเป็นซ้ำสูง และมีอัตราการผ่าตัดซ้ำสูง จึงมีความจำเป็นต้องใช้ยาในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะต้องการมีบุตร หรือเข้าสู่วัยทอง ยาที่ไม่มีผลข้างเคียง หรือมีอาการข้างเคียงต่ำ จึงมาช่วยตอบโจทย์ได้ทั้งหมด"
คุณผู้หญิงที่เป็นสาวโสดที่มีอาการปวดเมนส์รุนแรง และกลัวการตรวจภายใน อย่าได้กังวลที่จะพบแพทย์ เพราะการตรวจวินิจฉัยอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจทางช่องคลอด คือ การตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้อง หรือทวารหนัก
รู้อย่างนี้แล้วสาวโสดกลุ่มเสี่ยงจะลังเลอยู่ใย ถึงเวลาต้องมาพบสูติ-นรีแพทย์โดยเร็ว หากพบว่ามีเมนส์ออกมามาก และปวดเมนส์รุนแรง แม้จะเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็ถือว่าไม่ปลอดภัยแล้ว เพื่อสุขภาพของตัวเองในระยะยาว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit