น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่า ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยมาจากการส่งสัญญาณการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษีให้มีผลภายในสิ้นปีนี้ของสหรัฐ บวกกับตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง จึงคาดว่าเฟดน่าจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ประกอบกับการประมูลโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐในประเทศที่เร่งตัวขึ้นในช่วงปลายปี และกระแส Fund Flow ต่างชาติพลิกเป็น Net Buy ตั้งแต่ต้นเดือนก.ย.ราว 1 พันล้านบาท
สำหรับปัจจัยที่มีผลลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะนี้มาจากความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีหลังเกาหลีเหนือทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ระเบิดไฮโดรเจนที่มีการทำลายล้างสูง ขณะที่สหรัฐได้เตือนเกาหลีเหนือหากทำการใดที่เป็นการคุกคามสหรัฐและพันธมิตรของสหรัฐจะต้องเผชิญกับการตอบโต้ทางทหารครั้งใหญ่ ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ เดือน ก.ย. รัฐบาลจะนำเสนอร่าง พ.ร.บ. อีอีซี ต่อ สนช. ส่วนในวันที่ 7 ก.ย. ECB ประชุมนโยบายการเงิน และในวันที่ 19 – 20 ก.ย. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED)
ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ถูกแรงกดดันจากความกังวลสถานการณ์คาบสมุทรเกาหลีหลังเกาหลีเหนือทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกจากสหรัฐส่งสัญญาณผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษี รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศที่มีสัญญาณฟื้นตัวตามการส่งออก และการประมูลโครงการใหญ่ภาครัฐจะเป็นแรงหนุนต่อดัชนี ดังนั้นประเมินว่า SET จะแกว่งตัวในกรอบ 1,610 – 1,630 จุด ทั้งนี้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในการซื้อสะสมหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น ได้แก่ PTTGC และ IRPC เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่นสู่ระดับ 10 - 11 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 33.84 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือเพิ่มขึ้น 2.6% สู่ระดับ 1,324 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากตลาดให้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นถึงกว่า 65% ว่า Fed จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยจนถึงต้นปีหน้า และส่วนใหญ่ให้น้ำหนักว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยต่อจนถึงกลางปีหน้า สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอลงทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเพียง 156,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 180,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.1% สู่ 4.4% % และการใช้จ่ายภาคการก่อสร้างของสหรัฐดิ่งลง 0.6% ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน
นอกจากนี้ทองคำได้รับความสนใจในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหลังเกาหลีเหนือทดลองยิงขีปนาวุธข้ามญี่ปุ่นไปตกในมหาสมุทรแปซิฟิกตั้งแต่สัปดาห์ก่อน อีกทั้งมีการทดลองผลิตระเบิดไฮโดรเจนเพื่อบรรจุในขีปนาวุธข้ามทวีป อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดว่า Fed จะปรับลดงบดุลในการประชุมวันที่ 19-20 ก.ย. นี้ทำให้ทำให้เงินทุนเริ่มไหลกลับเข้าหาสกุลเงินดอลลาร์และพันธบัตรเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ 1,310-1,365 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำยังได้รับความสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากความกังวลเกี่ยวกับการทดลองขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ แต่ให้ระวังแรงขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน 1,355-1,365 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวขึ้น 7.7%QTD และในสัปดาห์นี้จะมีการประกาศดัชนีภาคบริการสหรัฐ(คาดขยายตัวต่อซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) และการประชุมธนาคารกลางยุโรป(คาดคงมาตรการ QE จนกว่าจะถึงเดือน ต.ค. 60 ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ)
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit