บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) (AQ) แจ้งงบการเงินไตรมาสที่ 1/2560 สิ้นสุด 31 มีนาคม 2560 ขาดทุนสุทธิ61.96 ล้านบาท หรือ 0.0049 บาทต่อหุ้น ขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 95.45 ล้านบาท หรือ0.0075 บาทต่อหุ้นนายสมชาย คูวิจิตรสุวรรณ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) (AQ) กล่าวว่า ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทในไตรมาสแรกปีนี้ ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 155.07 ล้านบาท คิดเป็น 74.11% เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมีผลกระทบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์และบริษัทมีการชะลอการลงทุน
ค่าใช้จ่ายในการขายลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 23.20 ล้านบาท หรือ 73.47% เนื่องจากบริษัทชะลอการลงทุนในการเปิดโครงการใหม่และมีการพิจารณาโฆษณาในสื่อที่ตรงเป้าหมายมากที่สุด นอกจากนี้มีการการตั้งสำรองค่าความเสียหายในคดีลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 51.04 ล้านบาท
ส่วนประเด็นที่ผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตุต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง(ศาลฎีกา) ในเรื่องการดำเนินการต่อเนื่อง AQ กับความสามารถในการชำระหนี้ธนาคารกรุงไทย ความสามารถในการขายที่ดินหลักประกันให้ได้ราคาสุทธิตามที่ AQ ประมาณการไว้ ที่ผู้สอบบัญชีระบุว่า ปัจจัยเหล่านี้ยังมีความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญ ซึ่งอาจให้เกิดข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องนั้น
นายสมชาย กล่าวว่า ผู้สอบบัญชีระบุชัดเจนว่า งบการเงิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 จัดทำขึ้นตามสมมติ ฐานว่า AQ จะดำเนินงานได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้สอบบัญชียังได้บันทึกความเห็นในงบการเงินด้วยว่า เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2560 AQ ทำหนังสือถึงธนาคารกรุงไทย โดยได้สรุปข้อตกลงร่วมกัน 3 ประการได้แก่
1.บริษัทจะชำระค่าเสียหายบางส่วนตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแก่ธนาคารจำนวน 1,635,735,380 บาท ซึ่งได้ชำระเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2560
2.ธนาคารจะดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาต่อทรัพย์ทั้งหมดอันเป็นมูลเหตุแห่งความเสียหายต่อธนาคาร โดยเงินที่ได้จากการบังคับคดี จะนำไปชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยจะยังไม่ดำเนินคดีกับบริษัท
3.หากการดำเนินการบังคับคดีกับสินทรัพย์ดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดได้เงินไม่ครบจำนวนค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลฎีกา บริษัทจะหาเงินชำระค่าเสียหายต่อธนาคารต่อไป
นายสมชาย กล่าวว่า ในแง่ของธุรกิจ ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหลายโครงการที่มีทั้งดำเนินการแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการดำเนินการ และมีอีกหลายโครงการที่จะลงทุนในอนาคต ส่วนงบการ เงินไตรมาส 2/2560 จะส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ทันที เมื่อผู้ตรวจสอบบัญชีให้การรับรองงบการเงิน และคาดว่าจะทำให้หุ้น AQ กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
ปัจจุบัน เอคิว เป็นเจ้าโครงการบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และ โรงแรม มูลค่ารวมกันหลายพันล้านบาทเช่น AQ Shadiชลบุรี-บายพาส มูลค่า 1,003 ล้านบาท AQ Shadi รังสิต-พหลโยธิน มูลค่า 397 ล้านบาท กฤษดา แกรนด์ พาร์ค มูลค่า 391 ล้านบาท รังสิต บิซ พาร์ค มูลค่า 211 ล้านบาท
โครงการ AQ Virar มูลค่า 306 ล้านบาท AQ Arbor มูลค่า 1,082 ล้านบาท โครงการ 15 Gates มูลค่า 334 ล้านบาท AQ Welle มูลค่า 640 ล้านบาท โครงการ Garden มูลค่า 977 ล้านบาท AQ Estes คอนโดมิเนียม ถนนรัตนาธิเบศร์ มูลค่า 1,548 ล้านบาท และ โครงการ AQ Alix มูลค่า 228 ล้านบาท
ส่วนโรงแรม ประกอบด้วย Shasa Samui มูลค่า 162 ล้านบาท Malibu Samui มูลค่า 58 ล้านบาท Flora Creek มูลค่า516 ล้านบาท Alix Redident มูลค่า 255 ล้านบาท และ Phureesala ภูเก็ต มูลค่า 137 ล้านบาท
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit