น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลเดินหน้าเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2560 ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในวันที่ 14 มี.ค. กรมทางหลวง เตรียมชงครม.อนุมัติผลประมูลมอเตอร์เวย์ บางปะอิน-โคราชอีก 12 ตอน และผลการดำเนินงานในปี 59 ของบริษัทจดทะเบียนใน SET กว่า 81% มีกำไรเพิ่มขึ้นโดยมียอดสุทธิกว่า 9 แสนล้านบาท ทำสถิติสูงสุดรอบ 5 ปีโดยมีปัจจัยกดดันจากการคาดการณ์ว่าที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 14 – 15 มี.ค. เนื่องจากอัตราว่างงานของสหรัฐในเดือนม.ค.อยู่ระดับต่ำ 4.8% รวมถึงอัตราเงินเฟ้อขยับเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ประกอบกับ Fund Flow ต่างชาติพลิกเป็น Net Sell ตั้งแต่ต้นปีราว 3 พันลบ. และรัฐบาลอังกฤษจะประกาศใช้มาตรา 50 เพื่อเริ่มกระบวนการ BREXIT ในสิ้นเดือนมี.ค.
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ วันที่ 8 มี.ค. จีน เปิดเผยยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนก.พ. สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ วันที่ 9 มี.ค. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติดอกเบี้ย ส่วนสหรัฐฯ จะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และวันที่ 14 – 15 มี.ค. กำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ
ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน นอกจากนี้ความกังวล FED ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 14 – 15 มี.ค. ส่งผลให้ Fund Flow ต่างชาติพลิกเป็น Net Sellโดยเป็นฝั่งขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีราว 3 พันลบ.
ดังนั้นประเมินว่า SET จะอ่อนตัวลงโดยมีแนวรับบริเวณ 1,530 – 1,540 จุด ทั้งนี้แนะนำ ซื้อเก็งกำไรแบบ Selective Buy กลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุน เช่น กลุ่มเดินเรือ แนะนำ TTA และ PSL ได้ประโยชน์จากดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) มีแนวโน้มเชิงบวกหลังดีดตัวทำHigh ในรอบ 2 เดือน และกลุ่มธนาคารได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำลงทุนแบงก์ใหญ่ ได้แก่ SCB, KTB และ KBANKสำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงต่อสภาย้ำเตือนถึงการใส่เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังขาดรายละเอียดที่ชัดเจนในตัวมาตรการ แต่ระบุว่าจะอัดฉีดงบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในการป้องกันประเทศ ทำให้จีนต้องเพิ่มงบการทหารตาม รวมทั้งญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มจะใส่เงินสร้างกองทัพเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯเลิกนโยบายวางกำลังไว้ทั่วทุกมุมโลก จึงมีโอกาสจะเพิ่มความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมากขึ้น
ซึ่งล่าสุด เกาหลีเหนือเพิ่งยิงขีปนาวุธ 4 ลูก ไปตกในเขตญี่ปุ่น เป็นนัยยะของการประท้วงท้าทายจีนที่กำลังญาติดีกับสหรัฐฯในเชิงเศรษฐกิจและการค้า จึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ความขัดแย้งย่อย ๆ จะเกิดขึ้นหากเกาหลีเหนือยิงใส่เกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นขึ้นมาจริง ๆ ก่อนที่จีนจะทำให้เกาหลีเหนือกลับมาอยู่ในโอวาทได้เหมือนเดิม แต่ประเด็นนี้ยังไม่เป็นบวกในทันทีต่อราคาทองคำ
นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของประธาน Fed ที่ปรับคำพูดเล็กน้อย แต่แสดงความหนักแน่นมากขึ้นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังอยู่ในจุดที่เหมาะสมสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ในภาพสั้น ๆ เป็นลบทันทีต่อราคาทองคำ แต่ในภาพระยะยาวแล้ว การที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น จะเป็นผลดีต่อราคาทองคำ รวมไปถึงความเสี่ยงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเลือกกรรมการใหม่ที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ยมาเติมใน FOMC แทนที่ตำแหน่งว่าง ก็ยิ่งทำให้ Fed มีแนวโน้มจะรีบปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพื่อดักหน้าเงินเฟ้อในอนาคตตามคำพูดของประธาน Fed และกรรมการหลายท่านที่ออกมาแสดงความเห็นก่อนหน้านี้ ประเด็นนี้จึงเป็นบวกต่อราคาทองคำมากเท่ากับระดับเงินเฟ้อที่ Fed มั่นใจว่าจะเกิดขึ้น เพียงแต่ราคาทองคำอาจมีการแกว่งตัวผันผวนแรงในช่วงที่กำลังมีประชุมเพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยในแต่ละครั้ง
ดังนั้น การอ่อนตัวลงมาของราคาทองคำจึงเป็นโอกาสในการซื้อสะสมเพื่อถือลงทุน โดยอาจแบ่งขายทำกำไรบางส่วนออกมาเพื่อเล่นรอบก่อนดักซื้อใหม่ในจังหวะพักตัว ในส่วนของราคาในกราฟทางเทคนิคที่มีการปิดกลบแท่งสัปดาห์ แสดงนัยสำคัญเพียงการปรับฐานในช่วงขาขึ้น ส่วนสัญญาณชี้ว่าเข้าสู่ขาลงต้องรอให้หลุด 1,215 ดอลลาร์ เสียก่อน จึงแนะนำให้นักเก็งกำไรเล่นรอบกับการสวิงในกรอบไม่เกิน 1,265 ดอลลาร์โดยราคาใกล้ระดับ 1,215 ดอลลาร์ สามารถเลือกซื้อเพื่อถือยาวหรือทำกำไรเป็นรอบได้ แต่ถ้าหลุด 1,215ดอลลาร์ ควร cut loss แล้วกลับสถานะตาม โดยยังคงให้การสะสมของกองทุน SPDR เป็น key factor เพื่อพิจารณาร่วมกับการยืนที่ระดับ1,215 ดอลลาร์
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit