UREKA แจกข่าวดี!!! คว้างานระบบทำความเย็น Chiller มูลค่า 29.45 ลบ. ทยอยรับรู้รายได้ใน Q3/60 หนุนผลงานปีนี้แข็งแกร่ง

15 Feb 2017
บจก.ยูเรกาออโตเมชั่น ในเครือของ บมจ. ยูเรกา ดีไซน์ (UREKA) คว้างานระบบทำความเย็น Chiller ของโรงพยาบาลรามาธิบดี มูลค่า 29.45 ล้านบาท เผยเตรียมทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/2560 ตุนงานในมือเพิ่มขึ้นเป็น 122 ล้านบาท ด้านผู้บริหารคนเก่ง "นรากร ราชพลสิทธิ์" ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจดังกล่าวในปีนี้ อยู่ที่ 12% พร้อมเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
UREKA แจกข่าวดี!!! คว้างานระบบทำความเย็น Chiller มูลค่า 29.45 ลบ. ทยอยรับรู้รายได้ใน Q3/60 หนุนผลงานปีนี้แข็งแกร่ง

นายนรากร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) (UREKA) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทฯได้รับงานใหม่ คือ โครงการระบบทำความเย็น chiller ของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มูลค่า 29.45 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/2560 โดยส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น. 122 ล้านบาท

ทั้งนี้ UREKA เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องทำความเย็น (Chiller) รวมถึงให้บริการติดตั้ง ตรวจดูแล ซ่อมบำรุง และให้คำปรึกษา ภายใต้แบรนด์ "Climaveneta" ของอิตาลี ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ระบบทำความเย็นอันดับหนึ่งของยุโรป และเป็นอันดับ 5 ของโลกโดยจุดเด่นของ Chiller แบรนด์ดังกล่าว คือ เป็นที่หนึ่งด้านการประหยัด เพราะเป็น Magnetic bearing คือ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น เพราะไม่มีส่วนที่สัมผัสและเสียดสีทางกล ทำให้มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดพลังงาน กินไฟฟ้าน้อยกว่า

ประธานเจ้าหน้าที่บริการและกรรมการผู้จัดการ UREKA กล่าวอีกว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าตลาดฯยังมีความต้องการสินค้าดังกล่าวอยู่สูง จากพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งโรงงาน หรืออาคารควบคุมตาม พ.ร.บ.พลังงานต้องพยายามหามาตรการในการลดการใช้พลังงานไม่ให้เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการที่ใช้ Chiller จะต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานจาก Chiller นี้ เพราะนับเป็นอุปกรณ์หลักที่กินพลังงานไฟฟ้าสูงจนถึงสูงที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ที่สิ้นเปลืองพลังงาน ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจระบบประหยัดพลังงาน (Energy Conservation) ในปีนี้อยู่ที่ 12% ของรายได้รวม