โดยก่อนหน้านี้ นายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการได้เคยกล่าวไว้ว่า "สมุทรปราการมีโรงเรียนสำหรับเด็กวัย 6 –14ปี 165,600 คน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ถึง มัธยมต้น รวมทั้งสิ้น 290 แห่ง จากการสำรวจไอคิวเด็กไทย ปี2554 และปี 2559 ของ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าค่าเฉลี่ยไอคิวเด็กไทยจังหวัดสมุทรปราการ =100.41 และ 101.09 (ค่ากลางมาตรฐาน IQ = 100 ) ผลการดำเนินงานอนามัยแม่และเด็กจังหวัดสมุทรปราการ ปี 2559 โดยภาพรวม พบว่าสภาวะสุขภาพของเด็กดีขึ้นเป็นลำดับ เด็ก 6-14 ปี มีรูปร่างสูงดีและสมส่วน ร้อยละ 64.8 และมีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน ร้อยละ 17.37 ทั้งนี้ มีเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคในอนาคต คือเด็กที่มีภาวะอ้วน ถึงร้อยละ 15.9 และ เด็กขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตระยะยาว ทำให้มีภาวะผอม ร้อยละ 9.7 และภาวะเตี้ย ร้อยละ 8.42 การโภชนาการที่ดี และสุขภาพที่แข็งแรง จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะส่งเสริมให้เด็กทุกคนเจริญเติบโต และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ เป็นคนมีคุณภาพของสังคมไทย อย่างไรก็ตามใน อดีตที่ผ่านมา เด็กไทยในวัยเรียนจำนวนมากขาดแคลนอาหารกลางวัน และมีปัญหาการขาดสารอาหาร จนทำให้มีน้ำหนัก และมีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์จึงส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และการเรียนรู้ของเด็ก ทำให้เด็กไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ ถึงแม้หลายหน่วยงานได้ร่วมกันแก้ไขแต่ก็ยังไม่สามารถครอบคลุมเด็กในวัยเรียนได้ทั้งประเทศยังมีเด็กนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวโดยลำพัง ทั้งนี้เพราะเด็กเหล่านี้อาศัยอยู่ตามชายขอบของประเทศในท้องถิ่นทุรกันดารห่างไกลการคมนาคม มีสภาพทางภูมิศาสตร์ไม่เหมาะสม จึงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการจัดบริการขั้นพื้นฐานของรัฐไม่ว่าจะเป็นการศึกษา บริการสาธารณสุข ตลอดจนสาธารณูปโภคต่างๆที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทำให้เด็กในพื้นที่เหล่านี้ขาดโอกาสในการพัฒนามากกว่าเด็กในพื้นที่ส่วนอื่นของประเทศ และเมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพบเห็นสภาพปัญหาดังกล่าว ทำให้ทรงห่วงใยเด็กและเยาวชนเหล่านี้ดังที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า ในบรรดาคนยากจนทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเห็นจะเป็นเด็กๆ พวกเด็กนักเรียนที่ซูบผอม อาหารการกินไม่สมบูรณ์เช่นนี้จะเอาเรี่ยวแรงและสมองที่ไหนมาเล่าเรียน โตขึ้นอาจจะไม่มีเรี่ยวแรงทำงานทำมาหากิน ก็ต้องทุกข์ยากยิ่งขึ้น จึงทรงริเริ่มดำเนินโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันขึ้นเมื่อพ.ศ.2523 โดยทรงทดลองทำที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 3 โรง เมื่อได้ผลแล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขยายไปยังโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทั่วประเทศในปีต่อมา"
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. และหน่วยงานภาคี จึงได้น้อมนำแนวพระราชดำริและแนวทางการทรงงานมาเป็นแบบอย่างในการขยายผลในโรงเรียนสังกัดต่างๆ ที่สมัครใจและมีเด็กปฐมวัยถึงวัยเรียนที่กำลังเจริญเติบโต ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาและขยายโอกาสถึงมัธยม 3 จำนวน 544 โรงเรียนตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ปี 2559 ได้คัดเลือกโรงเรียนพัฒนาให้มีความพร้อมเป็นศูนย์เรียนรู้ 120 แห่ง ซึ่งในจังหวัดสมุทรการมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ8 แห่งคือโรงเรียนวัดแหลมโรงเรียนบ้านบางจากโรงเรียนวัดแคโรงเรียนคลองบางแก้วโรงเรียนคลองสำโรง โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา โรงเรียนวัดคลองสวน และโรงเรียนสวนส้ม
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit