นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า โลกก้าวส่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่4 และกระแสทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงสู่ดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ภาคธุรกิจไม่สามารถมองข้ามได้ และท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน แต่เทคโนโลยีคือพระเอกที่ทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจในแง่มุมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายธุรกิจใช้ความได้เปรียบทางเทคโนโลยีขึ้นมาเป็นผู้นำธุรกิจในขณะเดียวกันบางธุรกิจต้องปิดตัวไปเพราะไม่สามารถยืนหยัดได้ จึงมั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของสมาคมโฆษณาดิจิทัลฯ ระบุว่าสื่อดิจิตอลโตไม่หยุด มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาของปี 2559 อยู่ที่ 9,883 ล้านบาท เติบโตขึ้น 22% จากปี 2558
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะผู้นำทางด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร จึงได้กำหนดแผนการดำเนินงานในปี 2560 ภายใต้ยุทธศาสตร์หลักคือก้าวสู่ความเป็นเลิศทั้งด้านบริการและบุคลากรโดยการนำโซลูชั่นทางเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแบ่งเป็น 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.วางรากฐาน Big Data สู่การรวมศูนย์ข้อมูล ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี ทำให้พลัสฯ มีฐานข้อมูลลูกค้าเป็นจำนวนมาก (Big Data)เข้าใจลูกค้าในทุกกลุ่ม จึงเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการจัดระบบฐานข้อมูลลูกค้า โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งมีความหลากหลายและมีปริมาณมหาศาลเพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ความสนใจในด้านต่างๆ ตลอดจนการพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย นำมาบริหารจัดการด้วยระบบดิจิตอล เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริโภค ความต้องการของผู้ซื้อ ส่งผลให้เกิดการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ในการต่อยอดการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำยังปลายน้ำ เกิดการเข้าถึงข้อมูลร่วมกัน สามารถนำข้อมูลที่มีมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยกระดับการบริการทั้งด้านงานขาย บริการหลังการขาย งานซ่อมบำรุง การให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ สามารถดูแลลูกค้าได้เหมาะสมในทุกความต้องการและทุกจังหวะเวลา ถัดมาคือ2. การขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Property Technology (PropTech) ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคดิจิตอลผ่านการต่อยอดจากเว็บไซต์ www.plus.co.thให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค และwww.plussoleagent.com เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้ ในการนำเสนอบริการให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมถึงการดูแลผู้อยู่อาศัยผ่านแอพพลิเคชั่นที่เรียกว่า Home Service Application เป็นแอพพลิเคชั่นที่ให้บริการลูกบ้านในโครงการ บมจ.แสนสิริ (บริษัทแม่) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ และ 3.การตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มด้วย Total Solution(การบริการแบบครบวงจร)เนื่องจากปัจจุบันลูกค้ามีความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้นการบริการที่ครบวงจร ผ่านองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุดเป็นสิ่งที่พลัสฯ ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะ อาทิกลุ่มลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ตลอดจนเป็นการสนับสนุนโครงการของแสนสิริที่เปิดการขายโครงการในต่างประเทศ โดยทีมพิเศษนี้สามารถให้คำปรึกษารอบด้าน ในการบริหารทรัพย์สินให้พร้อมใช้งานและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยให้คำปรึกษาทั้งด้าน การคำนวณทิศทางราคาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ดูแลจัดการด้านการปล่อยเช่า การหาผู้เช่าให้กับลูกค้า รวมถึงช่วยประสานงานกับเอเจนซี่ในต่างประเทศ ในรูปแบบ One Stop Service
"การแข่งขันในโลกธุรกิจปัจจุบัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ แต่เป็นการนำนวัตกรรมและไอเดียมาสร้างเป็นโมเดลธุรกิจที่เพิ่มคุณค่าและสร้างมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ พลัสฯ มั่นใจว่าแผนงานดังกล่าวข้างต้น จะเป็นรากฐานที่สำคัญสู่การเติบโตในอนาคต ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับเทรนด์ใหม่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังมาแรงในภูมิภาคนี้ ซึ่งแม้ว่าเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทกับพฤติกรรมผู้บริโภคแต่หากเรามีการพัฒนาตัวเองให้เท่าทันอยู่เสมอ และนำมาซึ่งการบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า เชื่อว่าลูกค้าก็จะยังมีความต้องการใช้บริการในรูปแบบที่ต้องมีที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญและไว้ใจได้ ดังนั้นเราจึงจะมุ่งมั่นจะพัฒนาตัวเอง เพื่อให้เป็นบริษัทที่อยู่ในใจของลูกค้าตลอดไป"
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น คาดว่าจะพื้นตัวในครึ่งปีหลัง จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ หากพิจารณาในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยเป็นอีกปีที่ท้าทาย ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย ตามปัจจัยบวกจากโครงการลงทุนโครงข่ายคมนาคมของภาครัฐ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ รวมถึงการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในต่างจังหวัด
"ในปีนี้ยังคงเห็นโครงการใหม่ๆ เปิดตัวสู่ตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการระดับบน และที่น่าสนใจคือโครงการระดับ Super Luxury จะเป็นดีมานด์เพื่อการอยู่อาศัยจริง จากแนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่ใจกลางเมือง สอดคล้องกับข้อมูลราคาขายโดยเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ ที่มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย โดดเด่นกว่าราคาขายของโครงการพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นกลาง และพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ และอีกประเด็นหนึ่งที่น่าจับตามองคือการบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะมีการนำที่ดินที่มีอยู่แล้ว (Land Bank) ออกมาพัฒนาเร็วขึ้น ทั้งในโซนสุขุมวิท อโศก หรือทองหล่อ ส่วนหนึ่งคือการปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าในกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีการเติบโตสูงและยังมีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและลงทุนในระยะยาว"นายอนุกูล กล่าว
ปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้รวม 970 ล้านบาท อยู่ในรับทรงตัวเมื่อเทียบกันปีก่อนหน้า และสอดคล้องกับภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยรายได้ดังกล่าวมาจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (ตัวแทนซื้อ-ขาย-เช่าอสังหาฯ) 40% และอีก 60% เป็นรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยและเพื่อการพาณิชย์ ปัจจุบันมีโครงการที่บริหารทั้งสิ้น 188 โครงการ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit