นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า "SMPC" รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในปี 2560 นี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้ถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายปี 2560 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% จากปี 2559 ที่มียอดขาย 3,469 ล้านบาท ซึ่งจากการประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมการใช้ถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลวมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไตรมาส 1/60 มีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะดีมานด์ในตลาดต่างประเทศ
สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2560 นี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นหลัก เนื่องจากยังมีโอกาสและช่องทางการเติบโตอีกมาก จากความต้องการใช้ถังแก๊ส LPG ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในตลาดแอฟริกา และเอเชียใต้ โดยเฉพาะบางประเทศในแถบเอเชียใต้ มีการเปลี่ยนการใช้พลังงานเชื่อเพลิงเป็น LPG และตามความต้องการที่สูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้น ขณะที่ SMPC ยังคงมีการขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่สูงขึ้นดังกล่าว โดยในปี 2560 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 7.2 ล้านใบ เพิ่มจากปี 2559 ที่มีกำลังการผลิต 6.2 ล้านใบ คิดเป็นอัตราการใช้กำลังการผลิตในปี 2560 ที่คาดว่าจะยังคงสูงถึง 90% โดยโรงงานเดิมในประเทศยังสามารถขยายกำลังการผลิตใหม่ได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาแผนการขยายโรงงานใหม่ไปยังต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันและรองรับการขยายตัวของธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตไปได้ดี
"ประเมินว่าปริมาณการขายเฉลี่ยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จะยังคงเติบโตในระดับเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 15% ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการถังแก๊สในภูมิภาคแอฟริกาและเอเชียใต้ที่คาดว่ายังเติบโตสูง ซึ่งคาดว่าปี 2560 ยอดขายของบริษัทฯ จะยังเติบโตต่อ 15-20% จากการที่มีมูลค่างานคงค้างในมือสะสมและทิศทางตลาดต่างประเทศยังมีโอกาสประมูลงานเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตลาดต่างประเทศเป็นช่องทางจำหน่ายหลักที่สำคัญในการเพิ่มยอดขายและกำไรสุทธิในอนาคต ขณะเดียวกันจากการเติบโตของปริมาณขายต่อปีที่ค่อนข้างสูง SMPC จึงจำเป็นต้องขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ SMPC ต้องศึกษาการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม โดยโรงงานในประเทศสามารถรองรับการผลิตได้อย่างน้อยจนถึงปี 2561 ทั้งนี้มองหาโอกาสในการขยายกำลังการผลิตทั้งการตั้งโรงงานใหม่ไปยังต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในด้านลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งสินค้า และมาตรการกีดกันทางการค้าเช่นกำแพงภาษีจากการส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในประเทศนั้นๆ" นายสุรศักดิ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯงวดปี 2559 บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่ 3,469 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2558 ที่มียอดขาย 2,826 ล้านบาท โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 643 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% โดยสัดส่วนการขายส่วนใหญ่อยู่ในแถบแอฟริกาและเอเชีย ส่วนกำไรสุทธิงวดปี 2559 อยู่ที่ 541 ล้านบาท จากงวดปี 2558 อยู่ที่ 447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 21% สาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากยอดขายและอัตราการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยสุทธิกับค่าใช้จ่ายในการขายและภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 4.3% จาก 24.3% เป็น 28.6% เป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงล็กน้อย ทำให้อัตราการทำกำไรดีขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2559 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 0.64 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวด 1 ม.ค.-30 มิ.ย.2559 ในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ (พาร์) 1.00 บาท เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2559 โดยยังคงเหลือเงินปันผลสำหรับงวด 1 ก.ค.-31 ธ.ค.2559 ในอัตราหุ้นละ 0.34 บาทต่อหุ้น (พาร์) 1.00 บาท หรือคิดเป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 180 ล้านบาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 4 เม.ย.60 และวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นวันที่ 10 เมษายน 2560 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 28 เมษายน 2560 หาก ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit