นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นคาดว่าปีนี้จะเติบโตร้อยละ 3.3 โดยธุรกิจค้าปลีกเติบโตขึ้นร้อยละ 5-6 รวมถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซก็ยังคงเติบโตสูงถึงร้อยละ 15-20 ทั้ง 3 สัญญาณเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจค้าปลีกยังมีการขยายตัวและมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะนำสินค้าเข้าไปขายผ่านช่องทางต่าง ๆ ในตลาด
แม้ว่าแนวโน้มตลาดค้าปลีกจะมีสัญญาณเชิงบวก แต่ปัญหาหลักของผู้ประกอบการไทย ก็ยังคงเป็นการหาตลาดรองรับสินค้าที่ผลิตมาไม่ได้ โดยส่วนใหญ่จะขายอยู่ในตลาดเดิม ๆ และยังขาดโอกาสในการเข้าถึงช่องทางศักยภาพที่จะช่วยกระจายสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ธนาคารมองเห็นถึงปัญหาดังกล่าวจึงอยากช่วยสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยให้มีช่องทางใหม่ๆในการขายสินค้าได้มากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจของผู้ประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการร่วมกับบริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) และพันธมิตรที่เป็นช่องทางจัดจำหน่ายทั้ง 13 ช่องทาง จัดงาน "SME Matching Day 2017" มหกรรมจับคู่ดี SME แห่งชาติ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 8.00- 18.00 น. ณ ห้องบางกอก คอนเวนชันเซ็นเตอร์ B2 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ รูปแบบกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ กิจกรรมสัมมนาให้ความรู้ การออกบูธของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อให้คำปรึกษา และโซนเอสเอ็มอีโซลูชั่นนำเสนอเทคโนโลยีโซลูชั่นเพื่อธุรกิจ
กิจกรรมจับคู่ธุรกิจจะเป็นการนำบริษัทช่องทางจัดจำหน่ายชั้นนำมาออกบูธในงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เจรจาธุรกิจเพื่อเข้าถึงหรือขยายช่องทางจัดจำหน่าย โดยในปีนี้ธนาคารมีช่องทางจัดจำหน่ายที่เป็นพันธมิตรทั้งหมด 13 ช่องทาง แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย
1.ช่องทางค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ หรือโมเดิร์นเทรด จำนวน 7 บริษัท ซึ่งเป็นช่องทางที่เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ สนใจนำสินค้าและบริการเข้าจำหน่ายมากที่สุด ได้แก่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล, ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป, เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท, แม็คโคร, สพาร์ และเทสโก้ โลตัส
2.ช่องทางธุรกิจออนไลน์ จำนวน 4 บริษัท เป็นช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่น ที่เป็นที่นิยมและมียอดซื้อขายมากที่สุด ได้แก่ ลาซาด้า, แม็คโครคลิก, ทีวี ไดเร็ค ออนไลน์ ช้อปปิ้ง และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง
3.ช่องทางต่างประเทศ เป็นช่องทางที่ช่วยนำสินค้าของผู้ประกอบการไปขายในต่างประเทศทั้งในโซนอาเซียนและยุโรป จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ล็อกซ์เลย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน)
นายโชคดี วิศาลสิงห์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจหนังสือพิมพ์ บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า งานนี้เป็นอีกหนึ่งงานดีสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ซึ่งถือเป็นกำลังหลักสำคัญของประเทศ ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสร้างโอกาสทางการค้าผ่านการจับคู่ธุรกิจกับคู่ค้าชั้นนำของประเทศ และพิเศษสำหรับปีนี้มีการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายต่างประเทศ เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจไทยกับต่างแดน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะนำสินค้าไทยไปสู่ตลาดโลก ทั้งยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยอีกด้วย
ภายในงานนอกจากกิจกรรมจับคู่ธุรกิจซึ่งถือเป็นกิจกรรมสำคัญของงานแล้ว ยังมีการสัมมนาความรู้ 6 หัวข้อ ได้แก่"SME ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย" "เปิดขุมทรัพย์ตลาดตะวันออกกลาง" "ก้าวแรก SME ไทย สู่ตลาด CLMV" "SAP SME Solutionเทคโนโลยีช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไร" "เสริมแกร่ง SME ด้วย Digital Tools" และ "ยอดขายร้อยล้าน ปั้นง่ายนิดเดียว" สำหรับกิจกรรมให้คำปรึกษา มีหน่วยงานสำคัญที่ทำหน้าที่สนับสนุนเอสเอ็มอี จากภาครัฐ และเอกชน ร่วมเป็นพันธมิตร ออกบูธเพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการตลอดทั้งงานนอกจากนี้ ภายในงานจะมีการเปิดโซนเอสเอ็มอีโซลูชั่นรวบรวมบูธของบริษัทเทคโนโลยีและเทค สตาร์ทอัพ ที่จะนำเสนอเทคโนโลยีโซลูชั่น และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยเอสเอ็มอีในการจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ หรือกิจกรรมสัมมนาภายในงาน "SME Matching Day 2017" มหกรรมจับคู่ดี SME แห่งชาติ สามารถสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.ksmemacthing.com โดยกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ เปิดรับสมัครตั้งแต่ วันที่ 22 พฤษภาคม ถึง 9 มิถุนายนนี้ ส่วนกิจกรรมสัมมนา เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมถึง13 กรกฎาคมนี้ หรือจนกว่าที่นั่งจะเต็ม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE : @ksmematching ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าหมายมีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจจำนวน 700 ราย
สำหรับประโยชน์ที่ผู้ประกอบการที่มาร่วมงานในครั้งนี้จะได้รับ คือการได้พบกับเจ้าหน้าที่จัดซื้อของแต่ละช่องทางจัดจำหน่ายสะดวกและเร็วขึ้นเพราะการนัดนำเสนอกับจัดซื้อจะใช้เวลาและติดต่อยาก อีกทั้งการร่วมเจรจาธุรกิจในวันงานจะได้รับข้อเสนอหรือสิทธิพิเศษมากมายจากช่องทางจัดจำหน่าย นอกจากนี้ จะได้รับความรู้จากหัวข้อสัมมนาต่างๆภายในงาน เพิ่มโอกาสในการพบปะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากทั่วประเทศ รวมทั้งได้พบกับไอทีโซลูชั่นต่าง ๆ ที่จะเป็นเครื่องมือในการยกระดับการจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายสุรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญสำหรับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน คือ ต้องสร้างความแตกต่างและเป็นที่ต้องการของตลาดให้ได้ การนำนวัตกรรมมาใช้เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้คู่แข่งลอกเลียนสินค้าได้ยาก นอกจากนี้การผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม และการทำวิจัยเพื่อยืดอายุสินค้า ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพิจารณาของช่องทางจัดจำหน่าย เพราะการที่จะเข้าช่องทางการขายขนาดใหญ่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น หากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถพัฒนาทำให้สินค้ายืนหยัดจำหน่ายอยู่ในช่องทางการขายขนาดใหญ่ได้อย่างยาวนานจึงจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit