ไช่ฉิน เปิดตัวด้วยชุดราตรีสีทองที่เธอเคยใช้ขึ้นครวญเพลงในงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ม้าทองคำ (Golden Horse Award) ครั้งที่ 50 ที่ไต้หวัน โดยเดิมทีเธอคิดว่าจะเก็บรักษาเอาไว้และไม่ใช้อีก แต่ก็นำกลับมาใช้ในงานทัวร์คอนเสิร์ตรอบนี้ โดยเพลงแรกที่เปิดการแสดงของเธอเป็นเป็นที่มีชื่อว่า ชูซ่ายฉวี่ (Leaving Home) เพลงจังหวะสนุกๆที่เธอยังคงขยับตัวไปมาตามจังหวะเพลง ก่อนจะต่อด้วยเพลงที่สอง เป็นบทเพลงหวานๆ อย่าง "เกินหว่อซัวอ้ายหว่อ" (Tell Me You Love me) ซึ่งก็ทำเอาเคลิ้มกันไปไม่น้อย จากนั้นเธอก็ทักทายกับแฟนๆ ด้วยภาษาจีนกลางว่า "สวัสดีค่ะแฟนๆ ชาวไทย ฉันคือไช่ฉินตัวจริงเสียงจริงค่ะ!!!" แล้วเล่าถึงอาการบาดเจ็บพร้อมยกชายกระโปรงขึ้นมาเหนือข้อเท้าให้ผู้ชมได้เห็นเฝือกที่เธอใส่อยู่ ก่อนจะพูดอย่างถ่อมตัวว่า " การแสดงโดยเฉพาะการเต้นของฉันในคืนนี้คงจะไม่ค่อยเพอร์เฟ็คนะคะ แต่ฉันอยากจะบอกกับแฟนๆ ชาวไทยทุกท่านว่า เพื่อไม่ให้เสียความตั้งใจ และไม่ให้ทุกท่านผิดหวัง ไม่ว่าจะยังไงไช่ฉินจะต้องขึ้นยืนบนเวทีนี้ร้องเพลงให้ทุกท่านฟังค่ะ" ทำเอาเรียกเสียงปรบมือสร้างกำลังใจจากแฟนๆ ได้ดังลั่นฮออล์ "รับรองได้ว่าท่านผู้ชมทุกท่านจะได้รับชมคอนเสิร์ตในค่ำคืนนี้ด้วยความอิ่มเอมใจค่ะ ฉันจะไม่ยอมให้ทุกท่านต้องมาดูการแสดงแบบป่วย ๆ เพราะเวทีนี้เป็นของทุกท่าน ในใจฉันผู้ชมของฉันคือผู้ชมระดับห้าดาว ดังนั้นก็ต้องได้รับชมการแสดงระดับห้าดาวด้วยเช่นกัน" เสียงปรบมือรัวๆๆ !!!
สำหรับการแสดงของไช่ฉิน จัดมาในรูปแบบคล้ายละครเพลง มีการพูดคุยสอดแทรกระหว่างเพลงเกือบทุกเพลงและใช้ภาษาจีนกลางตลอดทั้งการแสดง แต่เพราะความเป็นคนที่มีอารมณ์ขันบวกกับเป็น Entertainer ตัวยง ก็เลยสามารถทลายกำแพงอุปสรรค์ทางภาษาไปได้เรียกเสียงหัวเราะ เสียงกรี๊ดได้ในบางช่วง ส่วนเสียงปรบมือดังทุกครั้งเมื่อจบเพลง โดยไช่ฉิน ได้เล่าเรื่องในแต่ละช่วงชีวิตของเธอ เริ่มตั้งแต่การเข้าวงการในยุค 80 ยุคที่ "เพลงในรั้วมหาวิทยาลัย" กำลังเป็นที่นิยม เธอได้ออกอัลบั้มแรกเมื่อตอนอยู่ ปี 1 ซึ่งเพลงในอัลบั้มก็ได้รับความนิยมทุกเพลงเลยทีเดียว แล้วเธอก็นำเพลงฮิตอย่าง "เจวี่ยเจ๋อ" (Choice) , "ตู้โข่ว" (Ferry ), "ไจ้อ้ายหว่ออีชื่อ" (Love Me One More Time) มาร้อง
การแสดงช่วงสองเธอเปลี่ยนเป็นชุดราตรีสีชมพูสุดหวาน ออกมาร้องเพลง"หนี่เตอเหยี่ยนเสิน" (The Spirit of Your Eyes) และตู๋หนี่ (Reading You) เป็นหนึ่งในเพลงเร็วไม่กี่เพลงที่เป็นเพลงฮิตของไช่ฉิน ซึ่งในเพลงนี้เธอพยายามโยกตัวไปตามจังหวะเพลงได้อย่างสวยงาม เมื่อจบเพลง ไช่ฉิน ก็ได้เล่าถึงเคล็ดลับความงาม "สำหรับท่านที่เพิ่งมาชมคอนเสิร์ตของไช่ฉินเป็นครั้งแรก รู้สึกไหมว่าฉันทั้งสาวและสวยด้วย (เรียกเสียงปรบมือดังลั่น) ฉันจะบอกให้นะถ้าไม่เพราะบาดเจ็บทำให้ฉันเสียเวลาออกกำลังกายไปสองสัปดาห์ ปกติฉันออกกำลังกายชนะหนุ่มๆ ในคอนเสิร์ตนี้แน่เพราะฉันจะซิตอัพวันละ 250 ครั้ง (เรียกเสียงวาวดังทีเดียว) ไม่งั้นฉันจะทั้งสาวทั้งสวย และเอวสวยแบบนี้เหรอคะ" นอกจากนี้เธอยังขอให้คนดูปรบมือดังๆ "ฉันอยากให้ทุกคนดูคอนเสิร์ตอย่างมีความสุข ถ้าชอบก็ปรบมือกันให้ดังๆ ไม่ต้องอาย เพราะฉันคงไม่สามารถรับประกันกับทุกคนได้ว่าฉันจะร้องเพลงไปได้อีกถึงอายุเท่าไหร่ การที่จะได้พบกันนั้นเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน ฉะนั้นจึงควรทะนุถนอมเก็บเกี่ยวความสุขกับบทเพลงให้มากที่สุดนะคะ"
แล้ว ไช่ฉิน ก็ยังเล่าถึงชีวิตตอนรุ่งสุดๆว่าถ้าอยากรู้ว่าผลงานเพลงของเธอขายดีแค่ไหนก็ให้ดูจาก "พอวางจำหน่ายได้ 3วันเจ้าของค่ายเพลงถึงกับได้ออกรถใหม่ ผ่านไปอีกสัปดาห์ได้ย้ายไปตึกใหม่กันเลยทีเดียว" แล้วเธอก็ร้องเพลง เป้ยอี๋ว่างเตอสือกวาง (Forgotten Times) ซึ่งไช่ฉิน บอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ธรรมดา ๆ แต่ยิ่งธรรมดายิ่งร้องยาก ซึ่งเพลงที่ถือว่าเป็นเพลง Signature ของเธอมาจนปัจจุบัน ปรากฎว่าแค่ขึ้นต้นเท่าก็เรียกเสียงปรบมือดังลั่นจากแฟนๆ ได้ทันทีเพราะเพลงนี้เป็นเพลงประกอบในภาพยนตร์ฮ่องกงชื่อดัง สองคนสองคม (Internal Affairs) ที่นำแสดงโดยดาราชื่อก้องอย่าง หลิวเต๋อหัวและเหลียงเฉาเหว่ย แล้วต่อด้วยเพลงซึ้งๆ จับใจอย่างหยิวหม่าไช่จื่อ (Brassica Napus) และ "จุ้ยโฮ่วเตออี้เย่" (The Last Night) ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์อีกเช่นกัน
มาถึงการแสดงช่วงที่สาม ไช่ฉิน ออกมาในชุดสีแดงที่รู้สึกว่าสวยโดดเด่นมาก มาพร้อมกับเพลง "เตี๋ยอี" Butterfly Clothes ที่มีจังหวะเร้าใจ แล้วเธอก็ได้เล่าถึงยุคที่เธออับโชคทั้งเรื่องานเพลง ครอบครัวพ่อเสียชีวิต มาถึงความรักก็ต้องหย่าร้าง ซึ่งกินเวลานานถึง 17 ปี ก่อนจะกลับมาโด่งดังจากงานเพลงในอัลบั้ม "Golden Voice Concert Hall Series" ที่ออกในปี 2007
จากนั้นเธอเล่าย้อนไปถึงผลงานชิ้นแรกที่ได้รับความนิยมไม่ใช่อัลบั้มเพลงที่เห็นกัน แต่เป็นแค่เทปคาสเซ็ทที่เธออัดเองในห้อง เนื่องจากคุณแม่ของเธอขอให้เธออัดเสียงร้องเพลงให้คุณแม่เอาไว้ฟังเวลาทำงานบ้าน คุณแม่จึงเป็นแฟนเพลงคนแรกของเธอ และเธอก็ได้นำเพลงเหล่านั้นมาร้องในคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย นั่นคือเพลงแสนซาบซึ้งเป็นภาษาฮกเกี้ยนที่เป็นภาษาถิ่นของไต้หวันนั่นคือเพลง"ชิวย้วน" ( Autumn Cry) และเพลงสากลที่ฮิตในยุค 80 "Donna Donna" ที่ไช่ฉิน บอกว่าเพลงนี้มอบให้เฉพาะไทยแลนด์เลยนะ ก่อนจะต่อด้วยเพลง "ไห่ส้างฮวา" (Flower On The Sea) ที่เธอให้คำจำกัดความว่า "นี่เป็นเพลงแสนหวานและมีความเป็นผู้หญิ้งผู้หญิง..." มาถึงเพลงพิเศษอย่าง "อี้ฉ่างหยิวซี่ อี้ฉ่างม่ง" (Just Like A Game, Just Like A Dream) ของหวังเจี๋ย และ"ย่งซินเหลี่ยงขุ่" (Well-intentioned) ของจางอวี่ ที่เธอได้นำมาขับร้องใหม่ในสไตล์ของตัวเองและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ช่วงสุดท้ายไช่ฉิน ออกมาในชุดราตรีสีเงินแวววาวพร้อมกับเพลงจังหวะเร้าใจอย่าง "หนานปิ่งหว่านจง"(Nanping Evening Bell) ต่อด้วยเพลงที่ทำนองคุ้นหูอย่าง "เย้หลายเซียง" จากนั้นได้กล่าวขอบคุณ ผู้จัด BeUS PRODUCTION ผู้ชมทุกคนที่มาร่วมในบรรยากาศแบบนี้ "เพราะนี่เป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ เพราะการชมการแสดงสดๆแบบนี้ ไม่มีทางเหมือนกับที่ได้ชมทางโทรทัศน์หรือฟังแค่เพลงเพียงอย่างเดียว ฉันชอบการแสดงสด รักเวที มันคือบ้านของฉัน ใครที่มาดูคอนเสิร์ตแล้วอยากให้ไปบอกคนที่ไม่เคยมาชมฉันด้วยว่ามาดูการแสดงสดของไช่ฉินสนุกแค่ไหน เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่อยากให้ภายหลังผู้ชมต้องไปซื้อซีดีเพื่อฟังฟังเพลงหวนรำลึกถึงไช่ฉิน ฉันอยากให้ทุกท่านได้มาดูฉันในขณะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ค่ะ"
จากนั้นก็ต่อด้วยเพลงสร้างชื่ออย่าง "ซินปู้เหลี่ยวฉิง" (New Endless Love) แล้วไช่ฉิน ก็ลงจากเวที ผู้ชมก็นตะโกน อังกอลๆๆ แล้วไช่ฉิน ก็กลับออกมากพร้อมกับเพลงประจำตัวของเธอ "เชี่ยซื่อหนี่เตอเวินโหร่ว" (Just Like Your Tenderness) ถือเป็นเพลงที่ขาดไม่ได้เลย ซึ่งก็มีเสียงร้องตามไม่น้อยทีเดียวถือเป็นเพลงสุดท้ายที่ได้ใจผู้ชมไปตามๆกัน สมแล้วกับฉายา "ตำนานที่มีชีวิต" นักร้องตัวจริง ร้องจริง แบ็คอัพเล่นจริงระบบเสียงเยี่ยมจริง จัดเป็นหนึ่งคอนเสิร์ตในตำนานที่จะอยู่ในความทรงจำของผู้ชมไม่รู้ลืม
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit