นายณัฐพัฒน์ นิธิอุทัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปัตตานีอุตสาหกรรม (1971) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย หมอนและที่นอน จากฟองน้ำยางพารา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากยางพารา100% ถือเป็นเจ้าแรกในประเทศไทยที่ผลิตฟองน้ำยางพารา ด้วยความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยียางและโพลิเมอร์โดยเฉพาะ ประกอบกับพื้นที่ในจังหวัดปัตตานีมียางพาราเป็นจำนวนมาก เมื่อดำเนินการมาระยะหนึ่งจึงได้ก่อตั้ง บริษัท ปัตตานีอุตสาหกรรม (1971) จำกัด ในปี พ.ศ.2514 หรือปี ค.ศ. 1971 ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ จนปัจจุบันสืบทอดมาถึงทายาทในรุ่นที่ 3
"ปัตตานีอุตสาหกรรม ผลิตและจำหน่ายสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จากการรับซื้อน้ำยางในพื้นที่ 3จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส รวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียง ใช้น้ำยางสดจากสวน นำมาแปรรูปเป็นน้ำยางข้น ส่งต่อมายังโรงงานที่ 2 เพื่อแปรรูปเป็นฟองน้ำยางพารา และนำมาผลิตต่อเป็นหมอน ที่นอน และท็อปเปอร์ยางพารา ตัดเย็บเพื่อบรรจุหีบห่อส่งขายภายในประเทศ และส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ จุดเด่น ของสินค้าเราคือใช้ยางพารา 100% เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ จึงทำให้สินค้าที่เป็นหมอนและที่นอนยางพาราของเราได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ โดยมีแบรนด์หลักคือ "ปาเท็กซ์" ซึ่งแบรนด์นี้ในประเทศจีนจะรู้จักในนาม ไทยปาเท็กซ์ (Taipatex)" นายณัฐพัฒน์ กล่าว
นายณัฐพัฒน์ กล่าวถึงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์จากฟองน้ำยางพาราว่า จุดเด่นที่ทำให้ ผลิตภัณฑ์ของปาเท็กซ์ ได้รับการตอบรับ เนื่องจากฟองน้ำยางพารามีคุณสมบัติในเรื่องของความยืดหยุ่นสูง ซึ่งวัสดุประเภทอื่นเลียนแบบได้ยาก เมื่อเรานำฟองน้ำยางพารามาผลิตเป็นหมอน หรือที่นอน จึงให้คุณสมบัติในเรื่องของการยืดหยุ่นและรองรับน้ำหนักของร่างกายได้เป็นอย่างดี ผสานกับการออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ เช่น ที่นอนยางพาราของเรามีการออกแบบรองรับ 7 ส่วนของร่างกาย หรือหมอนรูปแบบหรือรูปทรงต่างๆ ที่มีการรองรับกระดูกต้นคอ มีหลายขนาดและหลายรูปทรงที่เหมาะสมกับการนอนในแต่ละคน ในตลาดจึงให้การยอมรับว่าหมอนและที่นอนยางพาราเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ
นายณัฐพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า การจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯ มีทั้งจำหน่ายในประเทศไทยและต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทย ช่วงแรกเน้นทำการตลาดในต่างจังหวัด คล้ายกับป่าล้อมเมือง แต่ในปัจจุบันเราจำหน่ายเกือบทุกจังหวัดผ่านดีลเลอร์ที่จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงโมเดิร์นเทรด ในกลุ่มของเซ็นทรัลฯ กลุ่มโฮมเวิร์ค ในส่วนตลาดต่างประเทศ ที่ผ่านมาเราจำหน่ายสินค้าในประเทศแถบยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชียในกลุ่มของ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา แต่ปัจจุบันเน้นจำหน่ายสินค้าในตลาดจีนเป็นหลัก เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และมีความต้องการใช้สินค้าเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะหมอนยางพาราเป็นจำนวนมาก จากเดิมมีอัตราส่วนการส่งออกที่ 60% แต่ในปัจจุบันรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น80% โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีนมีการเติบโตเพิ่มขึ้นมาก
สำหรับการรุกตลาดในประเทศจีน บริษัทฯ เริ่มเข้าทำตลาดได้ประมาณ 3 ปี ผ่านพาร์ทเนอร์โดยใช้แบรนด์ ปาเท็กซ์ การทำตลาดในช่วงแรกผ่านระบบออนไลน์เป็นหลัก เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่ายได้ทั่วประเทศจีน ซึ่งประสบความสำเร็จพอสมควร และทำให้ ไทยปาเท็กซ์ (Taipatex) ได้รับการยอมรับในประเทศจีน โดยเฉพาะในกลุ่มระดับกลาง-บน ทำให้หมอนที่ผลิตจากฟองน้ำยางพาราได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในปีนี้เราจะมุ่งเน้นการทำตลาดออฟไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มร้านค้า ตัวแทนจำหน่าย และช่องทางการจัดจำหน่ายที่เป็นโมเดิร์นเทรด ในประเทศจีน โดยตั้งเป้าช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออฟไลน์ในประเทศจีนไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง ในปีนี้
นายณัฐพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาว่า การขยายไปสู่ตลาดประเทศจีนในปี 2558 ทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตขึ้นกว่า 20% โดยมียอดขายรวมทั้งกลุ่มที่ 1,200 ล้านบาท เป็นยอดขายจากการส่งออก 70% และยอดขายในประเทศ 30% ส่วนในปี 2559 มียอดขายทั้งกลุ่มที่ 1,350ล้านบาทเติบโตเพิ่ม 10-15% โดยมียอดขายจากการส่งออกเพิ่มเป็น 80% ของรายได้รวม ซึ่งในยอดขายจากการส่งออกไปยังต่างประเทศนั้น กลุ่มลูกค้าหลักคือ ประเทศจีน มีโดยมีสัดส่วนที่ 70% ของการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 750 – 800 ล้านบาท
สำหรับในปี 2560 บริษัทมีแผนในการสร้างแบรนด์ ปาเท็กซ์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมๆ กัน โดยตั้งเป้าการเติบโตอย่างน้อยที่ 10-15% หรือมีรายได้รวมประมาณ 1,450 ล้านบาท ในประเทศจีน ปี้นี้จะนำสินค้ากลุ่ม "ปาเท็กซ์ ท็อปเปอร์" เข้าสู่ตลาดประเทศจีนมากขึ้น นอกจากนี้ในอีก 3 ปีข้างหน้าประมาณปี 2563 จะนำที่นอนใหญ่รุกตลาดเพิ่มเช่นกัน สำหรับประเทศไทยในปีนี้เป็นปีที่สำคัญในการกลับมารีแบรนด์ดิ้ง แบรนด์ ปาเท็กซ์ เพื่อเจาะลูกค้าคนไทยเพิ่มมากขึ้น ควบคู่ไปกับการทำตลาดในประเทศอื่นๆ ที่มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
HTML::image( HTML::image( HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit