นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และเคนซิงตัน (Kensington) กล่าวว่า บริษัทได้เจรจาสร้างความร่วมมือกับบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการระดับลักซัวรี่ PARK24 เพื่อสร้างความร่วมมือกันระยะยาวในการพัฒนาคอนโดมิเนียม ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ของตลาด เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ (Synergy) ระหว่างกัน
"บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมเพื่อเจาะตลาดพรีเมียมแมส ขณะที่พราวด์ เรสซิเดนซ์มีความเชี่ยวชาญด้านการดีไซน์ การพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ รวมถึงการเจาะตลาดผู้บริโภคชาวต่างชาติ เราจึงมองเห็นโอกาสร่วมกันและตัดสินใจเป็นพันธมิตรกัน เสริมจุดแกร่งเพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมคุณภาพให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคครบทุกเซ็กเมนต์" นายพีระพงศ์ กล่าว
สำหรับรูปแบบของความร่วมมือนั้น ต่างฝ่ายจะเข้าซื้อหุ้นของกันและกัน โดยบริษัทจะเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด จำนวน 10 ล้านหุ้น จะชำระราคาหุ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาท โดยมีแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินและเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
ขณะเดียวกัน บริษัท พราวด์ เรสสิเดนซ์ จำกัด ก็จะเข้าทำการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จำนวน 81,197,171หุ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% ของทุนจดทะเบียน โดยเป็นการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าว ให้แก่บุคคลในวงจำกัดของบริษัท พราวด์ เรสสิเดนซ์ จำกัด ได้แก่ นางจรัสพิมพ์ ลิปตพัลลภ ประธานกรรมการ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด จำนวน 3.5% นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด จำนวน 0.75% และนางนุ่น ทวีศรี กรรมการ บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด จำนวน0.75%
"ภายหลังการเสนอขายและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน นางจรัสพิมพ์ จะถือหุ้น ORI จำนวน 56,838,020 หุ้น คิดเป็น 3.5% ของทุนจดทะเบียนบริษัท นายธงชัย จะถือหุ้นจำนวน 12,179,576 หุ้น คิดเป็น 0.75% และนางนุ่น จะถือหุ้นจำนวน 12,179,575 หุ้น รวมกันสามคนเท่ากับ 5% ของทุนจดทะเบียนบริษัท คิดเป็นมูลค่าหุ้นทั้งสิ้นประมาณ 1,000 ล้านบาท และนางจรัสพิมพ์ จะมีสิทธิ์เสนอชื่อบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการของออริจิ้นอีก 1คน" นายพีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะเสนอเรื่องทั้งหมดเข้าที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2560 ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2560 เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาอนุมัติต่อไป
นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากการดำเนินการทั้งหมดเสร็จสิ้น บริษัทจะมีแบ็กล็อกจำนวน 2.4 หมื่นล้านบาท อยู่ในระดับท็อป 5 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และมีแบรนด์คอนโดมิเนียมทั้งหมด 4 แบรนด์ ได้แก่ เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และ PARK สำหรับเจาะตลาดผู้บริโภคใน 4เซ็กเมนต์ โดยตั้งเป้าจะกระจายพอร์ตการดำเนินธุรกิจในสัดส่วนเซ็กเมนต์ละ 25% ภายในช่วง 5 ปี
ด้านนายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรกันในครั้งนี้ ถือเป็นบิ๊กมูฟของวงการอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นการผนึกกำลังกันระหว่างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งตลาดแมสและตลาดไฮเอนด์ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ยังตอบโจทย์การแข่งขันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันที่ต้องมีการพัฒนาให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ กระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งเป็นการรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนทางด้านสาธารณูปโภคของรัฐบาลจะทำให้เกิดความต้องการในที่อยู่อาศัย ทั้งจากตลาดในประเทศ และจากนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย
"ภายหลังการดำเนินการต่างๆ เสร็จสิ้น กลุ่มบริษัทพราว เรสซิเดนซ์ โดยคุณจรัสพิมพ์ ลิปตพัลลภ ก็จะส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และในส่วนของการบริหารงานกิจการของบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ ผมและคณะผู้บริหารของพราวด์ เรสซิเดนซ์ ทุกคนก็ยังคงรับผิดชอบในการบริหารตามปกติ ซึ่งโครงการ PARK24 ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมพร้อมขั้นสุดท้ายก่อนที่จะส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อ รวมถึงการเตรียมการโครงการใหม่ในแบรนด์ PARK ที่จะเกิดขึ้นบนสุดยอดทำเลใจกลางกรุงเทพมหานคร ในอนาคตอันใกล้" นายธงชัย กล่าว
สำหรับบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ PARK24 ใจกลางย่านสุขุมวิท มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ปัจจุบัน มีผู้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดแล้วประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เป็นผู้ซื้อต่างชาติมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องระหว่างปี 2560-2563
ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 35 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 30,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit