บลจ.ธนชาต เชื่อหุ้นไทยยังมีอัพไซส์ แนะแบ่งลงหุ้นผันผวนต่ำ พร้อมจ่าย 0.55 บาท ให้ 2 กองทุนเด็ด

01 Jun 2017
บลจ.ธนชาต ยังมั่นใจหุ้นไทยครึ่งปีหลังแม้ยังแกว่งตัวในกรอบแคบ แนะผู้ลงทุนเน้นโฟกัสระยะยาว เพิ่มการกระจายลงทุนในหุ้นไทยผันผวนต่ำ ลดความเสี่ยงพอร์ต ล่าสุดเปิดรับซื้อคืนอัตโนมัติ 2 กองทุนเด็ดT-PrimeLowBeta, T-LowBeta ในอัตรา 0.55 บาทต่อหน่วย
บลจ.ธนชาต เชื่อหุ้นไทยยังมีอัพไซส์ แนะแบ่งลงหุ้นผันผวนต่ำ พร้อมจ่าย 0.55 บาท ให้ 2 กองทุนเด็ด

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่าการลงทุนหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าหุ้นจะแกว่งในกรอบแคบๆ ช่วงประมาณ 1,500 - 1,600 จุด และซื้อขายกันที่ที่ P/E ประมาณ 14.5 – 15.5 เท่า เพราะอัตราการเติบโตของผลกำไรของบริษัทฯ จดทะเบียนที่ออกมายังไม่ค่อยสูงนัก

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง บลจ.ธนชาต คาดว่าน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากตัวเลขการส่งออกเริ่มปรับตัวดีขึ้นการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐน่าจะมีนโยบายอื่นออกมาเรื่อยๆ รายได้ภาคการเกษตรก็ดูจะปรับตัวดีขึ้น ดังนั้นการปรับลดประมาณการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ น่าจะสิ้นสุดแล้ว และเมื่อพิจารณาปัจจัยต่างประเทศ คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 2 ครั้ง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายเศรษฐกิจที่วางไว้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับอ่อนค่าลงจากที่เมื่อต้นปีหลายฝ่ายคาดว่าจะแข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนคาดหวังต่อนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลง จนกระแสเงินเริ่มไหลออกจากตลาดหุ้นอเมริกา มาเข้าตลาดหุ้นยุโรป และตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) มากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทย

คำแนะนำสำหรับลูกค้าที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากหรือกองทุนตราสารหนี้ แต่ไม่สามารถรับความเสี่ยงสูงๆ ได้ ควรกระจายการลงทุนในกองทุนหุ้นผันผวนต่ำให้มากขึ้น เพราะทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำและคาดว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จากภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่มีปัจจัยใหญ่ๆ เข้ามากระทบทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากคงอยู่ระดับต่ำอย่างนี้ต่อไป และพบว่าผู้ลงทุนตราสารหนี้กลับต้องรับความผันผวนมากขึ้น เพราะราคาพันธบัตรไทยมีความผันผวนมากขึ้นตามราคาพันธบัตรของสหรัฐฯ ดังนั้น การกระจายลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำบ้างจะทำให้พอร์ตลงทุนได้รับผลกระทบน้อยลงในอนาคต โดยลักษณะเฉพาะของกองทุนประเภทผันผวนต่ำ (Low Beta Fund) ส่วนมากจะลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) อยู่แล้ว และในปัจจุบันก็ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น

ด้วยตลอด 5 ปีกว่าที่ผ่านมา จากหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกหุ้นที่ลงทุน และการมีวินัยของการลงทุน เป็นสิ่งพิสูจน์ว่า กองทุนหุ้นในกลุ่ม Low Beta สามารถทำผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเทียบกับ SET Index เห็นได้จากผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนของกองทุน T-PrimeLowBeta (2 ก.พ. 59 - 29 พ.ค. 60) อยู่ที่ 11.26% ต่อปี ส่วน SET Index 18% และกองทุน T-LowBeta (29 มี.ค. 55 – 29 พ.ค. 60) สามารถสร้างผลตอบแทนให้อยู่ในระดับดีได้อย่างต่อเนื่องทำผลงานอยู่ที่ 14.87% ต่อปี เมื่อเทียบกับ SET Index 5% ต่อปี ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย และที่สำคัญทั้ง 2 กองทุนข้างต้นมีนโยบายรับซื้อหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ (Auto Redeem) ปีละประมาณ 2 ครั้ง โดยปัจจุบันตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นปลายเดือนพฤษภาคม และเดือนพฤศจิกายนของทุกปี

สำหรับกองทุนเปิดธนชาต Prime Low Beta (T-PrimeLowbeta) ได้ทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ (Auto Redemption) ครั้งที่ 3 ประจำงวด 6 เดือน ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ในอัตรา 0.55 บาทต่อหน่วยลงทุนโดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 2 มิถุนายน 2560 กรณีผู้ถือหน่วยมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารธนชาต

ขณะที่กองทุนเปิดธนชาต Low Beta (T-Lowbeta) มีมติให้ทำการรับซื้อคือหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ (Auto Redemption) ครั้งที่ 8 ประจำงวด 6 เดือน ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560โดยจ่ายผลตอบแทนในอัตรา 0.55 บาทต่อหน่วยลงทุนโดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 5 มิถุนายน 2560 กรณีมีบัญชีเงินฝากกับธนาคาร ธนชาต

ทั้งนี้ หากหน่วยลงทุนที่ได้รับมีมูลค่าน้อยกว่า 1,000 บาท บลจ.ธนชาต ขอสงวนสิทธิไม่ดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติดังกล่าว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมขอรับหนังสือชี้ชวนได้ในวันและเวลาทำการเสนอขายที่ บลจ.ธนชาต โทรศัพท์ 0-2126-8399 กด 0 หรือธนาคารธนชาตจำกัด (มหาชน) โทร. 1770 หรือผู้สนับสนุนการขาย หรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ บลจ.ธนชาต แต่งตั้ง www.thanachartfund.com