ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ให้เกียรติเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลง ว่าด้วยการยกระดับความปลอดภัยในการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ ระหว่างนายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมโทรคมนาคมฯ และนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เพื่อตอบสนองนโยบายของภาครัฐตามโครงการ National e-Payment ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศ โดยผลักดันให้เกิดความร่วมมือของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และธนาคาร ตลอดจนบุคลากรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวโดยเริ่มดำเนินการกับโครงการพร้อมเพย์เป็นลำดับแรก ซึ่งจะส่งผลต่อผู้ใช้บริการให้มีความเชื่อมั่นและผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต่อไป
สำหรับการดำเนินการที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ สมาคมโทรคมนาคมฯ และสมาคมธนาคารไทยจะสนับสนุนผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และธนาคารพาณิชย์ มีกลไกการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานะเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ใช้บริการ อันจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถดูแลผู้ใช้บริการที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้อย่างรัดกุมและมีความปลอดภัยในการทำธุรกรรม ภายใต้ความสมัครใจและการให้ความยินยอมของผู้ใช้บริการ
การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความคืบหน้าในการดำเนินการหลังจาก ธปท. และสำนักงาน กสทช. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการกำกับดูแลบริการชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2559 ซึ่งทั้ง 2 องค์กรได้ประสานความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่สำคัญคือ การยกระดับกระบวนการพิสูจน์ตัวตนของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กับของธนาคารพาณิชย์ให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกัน เช่น กำหนดให้การขอเปิดหรือเปลี่ยนแปลงซิมการ์ด ต้องใช้บัตรประชาชนตัวจริงและดำเนินการเฉพาะที่ศูนย์บริการเท่านั้น เพื่อช่วยป้องกันการทุจริต และครั้งนี้ เป็นการตกลงที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยเมื่อข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์มีการเปลี่ยนแปลง เช่น มีการเปลี่ยนหรือออกซิมการ์ดใหม่ ผู้ให้บริการจะแจ้งให้ธนาคารพาณิชย์รับทราบ เพื่อติดต่อและยืนยันความถูกต้องกับผู้ใช้บริการ ทำให้ช่วยดูแลคุ้มครองผู้ใช้บริการได้ทันท่วงที และหากเกิดปัญหาสามารถติดตามแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้บริการมีความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่มากขึ้นต่อไป