บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ (BTW) เตรียมขยายงานสร้างโรงไฟฟ้าทางเลือกครบวงจร โชว์รายได้ไตรมาส 3 ปีนี้ 472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133% จากปีก่อน แบ็กล็อกในมือ 1,662 ล้านบาท ลุ้นงานใหม่อีกหลายโครงการ

14 Nov 2016
บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ หรือ BTW เผยผลประกอบการไตรมาส 3 รายได้รวมดีขึ้นจากปีก่อน 133% ด้านแบ็กล็อกไตรมาส 4 กว่า 1,662 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้บางส่วนสิ้นปี 59 แนวโน้มปี 60 มีลุ้นงานโครงการใหญ่
บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ (BTW) เตรียมขยายงานสร้างโรงไฟฟ้าทางเลือกครบวงจร โชว์รายได้ไตรมาส 3 ปีนี้ 472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133% จากปีก่อน แบ็กล็อกในมือ 1,662 ล้านบาท ลุ้นงานใหม่อีกหลายโครงการ

นายโชติก รัศมีทินกรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTW เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 3 ของปีนี้ว่า "ผลประกอบการไตรมาส 3 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 472.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 269.46 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558 คิดเป็น 133% โดยรายได้หลักมาจากงานในกลุ่มงานแปรรูปชิ้นงานเหล็ก (Parts Fabrication) จากลูกค้าในกลุ่มโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับรายได้รวม 9 เดือนแรกของปี 2559 ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ 1,024.81 ล้านบาท ลดลง 531.12 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34.15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

กำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 เท่ากับ 25 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 2.44% ลดลง 480.60 ล้านบาท หรือคิดเป็น 95% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปีก่อน สำหรับในไตรมาส 3 ของปีนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 3.75 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 25.11 ล้านบาทหรือคิดเป็น 87% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อน สาเหตุการลดลงของผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 3 ของปี 2559 มาจากการบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ในไตรมาส 3 ปี 2558 เป็นจำนวนเงิน 47.18 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 3 ของปี 2559 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวน 6.21 ล้านบาท

ส่วนต้นทุนจากการรับจ้างผลิตในไตรมาส 3 ของปี 2559 เท่ากับ 423.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 278.62 ล้านบาท หรือคิดเป็น 193% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน การที่อัตราการเพิ่มขึ้นดังกล่าวสูงกว่าอัตราเพิ่มขึ้นของรายได้ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นลดลง สาเหตุมาจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว"

นายโชติก กล่าวเสริมว่า "เหตุที่ผลประกอบการไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น แต่ผลกำไรลดลง เป็นผลมาจากช่วงฤดูฝนของปีนี้มีปริมาณฝนมากขึ้น ส่งผลให้งานผลิตที่โรงงานสัตหีบบางส่วนที่ต้องทำนอกอาคาร ต้องชะงักงันเมื่อฝนตก จึงส่งผลให้บริษัทฯ ต้องจ่ายค่าแรงล่วงเวลาให้กับพนักงาน ทำให้ต้นทุนการรับจ้างผลิตเพิ่มขึ้น"

นายโชติก กล่าวต่อว่า "เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เบสท์เทค แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแกนของบริษัท บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน) เพิ่งได้รับงานโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมมูลค่าทั้ง 3 โครงการกว่า 372 ล้านบาท สำหรับงานในประเทศเป็นงานผลิตระบบท่อและส่วนประกอบ FGD (Flue Gas Desulfurization) Utility Piping สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ให้กับบริษัท อัลสตอม (ประเทศไทย) จำกัด ระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 - มกราคม 2560

ส่วนงานในต่างประเทศมี 2 โครงการคือ โครงการโรงไฟฟ้า เซนต์ ชาร์ลส์ รัฐหลุยเซียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการรับผลิตงานโครงสร้างเหล็กแปรรูป สำหรับ HRSG (Heat Recovery Steam Generator) จำนวน 2 ยูนิต ให้กับ Nooter/Eirksen ระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 - มิถุนายน 2560 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม Alba ประเทศบาห์เรน ซึ่งเป็นการรับผลิตงานเหล็กแปรรูปทั้งหมดสำหรับ HRSG (Heat Recovery Steam Generator) จำนวน 3 ยูนิต ระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 - สิงหาคม 2560 ให้กับ Alstom Middle East FZE ซึ่งงานทั้ง 3 โครงการมีมูลค่ารวม 372 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 กลุ่มบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินงานและยังไม่รับรู้รายได้มูลค่ารวมประมาณ 1,290 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับงานจำนวน 3 โครงการที่ได้รับมา กลุ่มบริษัทฯ จะมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินงานและยังไม่รับรู้รายได้มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,662 ล้านบาท "

นายโชติก กล่าวทิ้งท้ายว่า "การที่เบสท์เทค ซึ่งเป็นบริษัทแกนของ BTW มีความสามารถในการรับงานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการโครงสร้างเหล็กขนาดเล็กไปจนถึงงานโมดูล (Module) ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีกลยุทธ์การเพิ่มรายได้จากอุตสาหกรรมอื่นๆ ในขณะที่อุตสาหกรรมก๊าซและน้ำมันยังอยู่ในภาวะชะลอตัว อีกทั้งบริษัทมีศักยภาพทั้งในด้านบุคคลากรและเครื่องจักรอันทันสมัย ประกอบกับการมีโรงงานอยู่ติดท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ อันถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ลูกค้าเลือกเราเป็นอันดับต้นๆ อีกทั้งตอนนี้กลุ่มบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการเจรจารับงานโครงการใหม่เพิ่มเติม รวมถึงการเตรียมเข้าประมูลงานโครงการใหญ่ที่จะเปิดให้ยื่นประมูลช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า มูลค่ารวมกว่าหมื่นล้านบาท"

บริษัท บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น หรือ Holding Company โดยมีบริษัท เบสท์เทค แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นบริษัทแกน ก่อตั้งในปี 2530 ประกอบธุรกิจให้บริการแปรรูปผลิตภัณฑ์และโครงสร้างเหล็ก หรือ Steel Fabrication ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติร่วม 30 ปี โดยกลุ่มของงานบริการหลักประกอบด้วย งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ หรือ โมดูล (Modularization) ซึ่งเป็นการผลิตกลุ่มชิ้นงานเหล็กหรือระบบการผลิตแยกเป็นหลายโมดูลเพื่อนำไปประกอบในโครงการอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ และงานแปรรูปชิ้นงานเหล็ก หรือ Parts Fabrication ได้แก่ งานระบบท่อ งานแปรรูปและประกอบถังทนแรงดันและถังบรรจุและงานโครงสร้างเหล็ก