"สำหรับมุมมองการลงทุนของบลจ.กสิกรไทยต่อสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลก ในส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะนำให้รอประเมินสถานการณ์และชะลอการเข้าลงทุนเพิ่มเติมเนื่องจากราคาหุ้นซื้อขายอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง แต่อัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเริ่มมีจำกัด ส่วนตลาดหุ้นเอเชียคาดว่าจะได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับในภูมิภาคอื่นๆ ผู้ลงทุนสามารถอาศัยจังหวะเข้าลงทุนในบางภูมิภาคได้ อาทิ ตลาดหุ้นเอเชียและอินเดีย ขณะที่ราคาทองคำในระยะยาวน่าจะถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ในระยะสั้นสามารถเข้าซื้อขายเพื่อกำไรได้เนื่องจากราคายังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบล่าง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ลงทุนที่ไม่สามารถรับความผันผวนในระยะสั้นได้ แนะนำให้เลือกลงทุนในกองทุนผสมที่มีนโยบายกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset) เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน" นายวศินกล่าว
นายวศินกล่าวต่อไปว่า ด้านผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและอาเซียนคาดว่ามีค่อนข้างจำกัด โดยแม้ว่าตลาดเกิดใหม่อาจมีความกังวลในเรื่องเงินลงทุนไหลกลับเข้าสู่สหรัฐฯหากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อาจมีการแข็งตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามจากความไม่ชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่สูง บลจ.กสิกรไทยมองว่า ในช่วงระยะสั้นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นเร็วมากนัก ประกอบกับสภาพคล่องทั่วโลกที่มีอยู่สูงยังเป็นปัจจัยส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและอาเซียน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ มาตรการการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลทำให้ประเทศในอาเชียนต้องพึ่งพาการบริโภคในประเทศที่มากขึ้น ทั้งนี้บลจ.กสิกรไทยยังคงมุมมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2559 อยู่ที่ระดับ 1,550 และเป้าหมายกลางปี 2560 อยู่ที่ 1,640 จุด โดยนักลงทุนสามารถเข้าสะสมการลงทุนในหุ้นไทยรวมถึงตลาดหุ้นอาเซียนได้ ซึ่งในส่วนกลยุทธ์การลงทุนของบลจ.กสิกรไทย จะเน้นการคัดเลือกหุ้นเป็นรายตัว (Stock Selection) โดยให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบไม่มากจากนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯที่อาจเปลี่ยนแปลงไป และน่าจะได้รับประโยชน์จากความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลประเทศต่างๆ จะมีการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อชดเชยการส่งออกที่อาจจะชะลอตัวลงในระยะถัดไป นอกจากนี้ยังสนใจในหุ้นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่ส่วนใหญ่มักจะมีการเติบโตตามการบริโภคในประเทศเป็นหลัก รวมถึงมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่
ด้านมุมมองต่อตลาดตราสารหนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของไทยจะยังทรงตัวต่อเนื่องอย่างน้อยไปจนถึงกลางปี 2560 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและสภาพคล่องในระบบที่มีอยู่สูงมากจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของประเทศแกนหลักต่างๆ อย่างยุโรป ญี่ปุ่น และจีน โดยบลจ.กสิกรไทยคาดว่า เส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield Curve) ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า จะปรับตัวอยู่ในช่วงแคบ ๆ ที่ +0.15% ถึง -0.15% โดยผู้ลงทุนที่สามารถรับความผันผวนของมูลค่าหน่วยลงทุนในระยะสั้นได้ อาจเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนในกลุ่มตลาดเงินและตราสารหนี้ระยะสั้น
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ.กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายหน่วยลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit