ภายหลังผลการเลือกตั้งสหรัฐครั้งล่าสุดออกมาพลิกความคาดหมายของนักวิเคราะห์ โดยไม่เพียงแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 สภาครองเกรสก็ยังตกอยู่ภายใต้การควบคุมเบ็ดเสร็จของพรรครีพับลิกัน ทำให้ตลาดทุนทั่วโลกกังวลกับนโยบายสุดโต่งของนายทรัมป์ หลังจากที่เคยชินกับนโยบายเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ของพรรคเดโมแครตมาเกือบทศวรรษ แต่หลังจากนายทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ตอบรับชัยชนะ ตลาดกลับคลายกังวลอย่างรวดเร็วมาก ชี้ว่าปรากฏการณ์ "Trump Shocks" อาจส่งผลที่คาดเดาได้ยากและนักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนช่วงนี้เป็นพิเศษ
Trump Shocks เริ่มปั่นป่วนตลาดทันทีที่คะแนนเสียงของนายทรัมป์เริ่มนำนางคลินตันอย่างชัดเจน ทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยงอย่างฉับพลันและเข้าถือสินทรัพยปลอดภัย ทำให้ดัชนีนิเคอิของญี่ปุ่นร่วงรุนแรงถึง 6.63% และเงินเยนแข็งค่า 3.97% เวลาเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยก็ได้ปรับตัวลง 1.47% และบอนด์ยีลด์ลดลงทันที อย่างไรก็ตาม นักลงทุนกลับต้องช็อคอีกระลอกหลังนายทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ตอบรับชัยชนะและเน้นย้ำถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่เลวร้ายเหมือนในช่วงหาเสียง ส่งผลให้มีแรงเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหนัก ทำให้ดัชนี S&P500 กลับมาบวกและพันธบัตรสหรัฐเผชิญแรงขายอย่างรุนแรง และในตอนเช้าตลาดเอเชียก็รับอาการ ช็อคด้วยการกลับมายืนที่จุดเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จากปรากฎการณ์ Trump Shocks ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองตลาดจะมีความผัวนผวนต่อเนื่องในระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนมากยังสับสนกับนโยบายของนายทรัมป์และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความผันผวนในตลาดจะคงอยู่จนกว่านายทรัมป์จะประกาศนโยบายที่แน่ชัดออกมาในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า
ในระยะยาวศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าสิ่งที่จะกำหนดทิศทางของตลาดทุนไทยที่แท้จริงคือ นโยบายการเงินของเฟด โดยมองผลลัพธ์ออกเป็น 2 กรณี คือ
(1) กรณีที่นโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ได้รับอนุมัติทั้งหมด เชื่อว่าจะก่อให้เกิด Trump Shocks อีกรอบและเงินเฟ้อดีดตัวอย่างชัดเจน อันเป็นผลมาจากนโยบายการค้าและผู้อพยพที่สุดโต่ง ทำให้เฟดจำต้องตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเร็ว โดยคาดว่า จะขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในสิ้นปีนี้ 0.25% และเพียง 2-3 ครั้ง 0.25% ในปีหน้า ซึ่งในกรณีนี้จะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุนโลกเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดแรงขายทั้งในหุ้นและบอนด์ไทย กดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าได้อีกประมาณ 3% จากสิ้นปีนี้ถึงปีหน้า
(2) กรณีที่นโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ได้รับการตอบสนองบ้าง แม้เศรษฐกิจจะเติบโตได้น้อยกว่าแต่จะไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและระดับหนี้สิน ส่งผลให้เฟดมีโอกาสที่จะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายได้ต่อ โดยคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ในสิ้นปีนี้และอีก 1 ครั้งในปีหน้า ส่งผลให้ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าเพียงเล็กน้อย 1.5% จากสิ้นปีนี้ถึงปีหน้า
ทั้งนี้ปรากฎการณ์ Trump Shocks ชี้ให้เห็นว่าตลาดการเงินหลังจากนี้นั้นยากที่จะคาดเดาทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจและทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้าย จากนี้ไปจนถึงปีหน้าคงจะยังมีเรื่องช็อคอื่นอีกนอกจาก Trump Shocks ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การกีดกันทางการค้า การเมืองในยุโรป และปัญหาหนี้เสียในจีน ดังนั้น ผู้ประกอบการและนักลงทุนไทยจึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและเตรียมตัวรับกับความผันผวนของตลาดที่จะยังมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit