นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าคุณภาพสูงพร้อมใช้เพื่อให้เช่ารายใหญ่ของประเทศไทย แถลงผลการดำเนินงานของกลุ่มไทคอนรอบ 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,263 ล้านบาท กำไรสุทธิ 270 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 1,344 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยรายได้หลักมาจากรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการ จำนวน 838 ล้านบาท และกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 104 ล้านบาท
ในโค้งสุดท้ายของปี 2559 กลุ่มไทคอนยังคงเดินหน้าสร้างความเติบโตทางธุรกิจและความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มียอดลูกค้าเช่าโรงงานและคลังสินค้าของกลุ่มเพิ่มขึ้นรวม 216,771 ตารางเมตร ทำให้กลุ่มไทคอนมีพื้นที่ภายใต้การบริการจัดการ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 2.5 ล้านตารางเมตร โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นลูกค้าประเทศญี่ปุ่น และลูกค้าส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และโมเดิร์นเทรด ทั้งนี้ไทคอนมั่นใจว่า ตลาดภายในประเทศยังคงมีความต้องการโรงงานและคลังสินค้าสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่มีสัญญาณเป็นบวกจากปัจจัยส่งเสริมด้านนโยบายการลงทุนของภาครัฐ และจำนวนนักลงทุนจากต่างประเทศที่เข้าขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอที่ยังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
นอกเหนือจากการขยายพื้นที่เช่าโรงงานและคลังสินค้าในประเทศแล้ว บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศเป้าหมาย ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์ ซึ่งไทคอนมีการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2558 โดยมีคลังสินค้าให้เช่าพื้นที่รวมกว่า 85,560 ตารางเมตร จากเป้าหมายพื้นที่รวมกว่า 146,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในประเทศเวียดนามเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนในปี 2560
นายวีรพันธ์กล่าวว่า "เพื่อให้กลุ่มไทคอนมีความต่อเนื่องในการขยายธุรกิจ และมีความคล่องตัวทางการเงินมากยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ จาก 1.10 พันล้านบาท เป็น 1.83 พันล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญจำนวน 735 ล้านหุ้นเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัดให้แก่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (Frasers Property Holdings (Thailand) Co., Ltd) ในราคาหุ้นละ 18 บาท มูลค่ารวม 13,230 ล้านบาท ซึ่งราคาดังกล่าวถือว่าเหมาะสมเนื่องจากมีส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าตามบัญชีของบริษัทปรับปรุงด้วยมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน"
สำหรับขั้นตอนการเพิ่มทุนต่อจากนี้ ไทคอนจะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 ธันวาคม 2559 เพื่อขออนุมัติผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ (Whitewash) ให้แก่ FPHT ซึ่งหากที่ประชุมอนุมัติ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถดำเนินการจัดสรรหุ้นให้ FPHT และนำหุ้นเพิ่มทุนเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เสร็จสิ้นภายในเดือนมกราคม 2560 ทั้งนี้ ภายหลังการเพิ่มทุนจะทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของไทคอนมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จะเข้าถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% สวนอุตสาหกรรมโรจนะ 26% กลุ่มซิตี้เรียลตี้ 4% และอื่นๆ 30% ซึ่ง FPHT จะมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งจะมีสิทธิเสนอชื่อบุคคลเพื่อเป็นกรรมการของบริษัทฯ จำนวน 3 ท่าน
"FPHT เป็นบริษัทที่มีสถานภาพทางการเงินที่ดีและมีโมเดลธุรกิจใกล้เคียงกันกับของบริษัทไทคอน อีกทั้งยังเป็นบริษัท ในเครือของ บริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยท์ ลิมิเต็ด (Frasers Centrepoint Limited – FCL) ผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอาเซียน ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบบูรณาการ (Integrated Real Estate Projects) รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ประเภทอุตสาหกรรมในทวีปเอเชียเหนือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป และตะวันออกกลาง รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาคลังสินค้าให้เช่าในประเทศออสเตรเลีย นอกจากนี้ FCL ยังเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX-ST) และเป็นผู้สนับสนุนการจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 4 แห่งในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์โดยมีบริษัทย่อยของ FCL เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ดังกล่าว"
"ไทคอนเชื่อว่าการร่วมมือกับ FPHT ในการเพิ่มทุนครั้งนี้จะช่วยเอื้อประโยชน์และสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีความมั่นคงได้เป็นอย่างดีในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อไทคอนเริ่มมีการขยายการลงทุนไปในประเทศแถบอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย และเตรียมแผนการลงทุนไปยังเวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์ ในปี 2560 ซึ่งการมี FPHT มาเป็นพันธมิตรครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯได้ประโยชน์จากเครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศของ FCL และส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย สามารถยกระดับความสามารถขึ้นสู่การเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าในระดับอาเซียนได้อย่างแน่นอน" นายวีรพันธ์ กล่าวสรุป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit