กรมควบคุมโรคแนะ ควรป้องกันไม่ให้ยุงกัดป้องกันไข้ซิกา ชี้ไทยยังไม่มีรายงานการติดเชื้อจากการสัมผัส

11 Oct 2016
นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยมีการดำเนินมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสซิกาอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกา สำหรับสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสซิกาในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 30 ก.ย. 59 พบผู้ป่วยแล้ว 392 ราย ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยรายใหม่ 43 ราย แนวโน้มผู้ป่วยแต่ละสัปดาห์คงที่ใกล้เคียงกัน
กรมควบคุมโรคแนะ ควรป้องกันไม่ให้ยุงกัดป้องกันไข้ซิกา ชี้ไทยยังไม่มีรายงานการติดเชื้อจากการสัมผัส

ซึ่งสามารถควบคุมโรคได้ โดยพบผู้ป่วยในบางอำเภอ บางจังหวัดเท่านั้น

ส่วนกรณีการพบเด็กศีรษะเล็ก นั้น เกิดจากการเฝ้าระวัง ติดตามในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิดและเข้มข้นของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งการติดเชื้อไวรัสซิกาในหญิงตั้งครรภ์ ไม่ใช่เป็นสาเหตุหลักเพียงสาเหตุเดียวที่ทำให้ทารกศีรษะเล็ก แท้จริงแล้วภาวะศีรษะเล็กสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน จากข้อมูลทางวิชาการมีโอกาสเกิดได้ใน 40-40-20 คือ 40% แรกอาจเกิดจากความผิดปกติของยีนตั้งแต่กำเนิด, 40% ต่อมาอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ได้รับสารเคมีบางชนิดขณะตั้งครรภ์ อาทิ สารโลหะหนัก เป็นต้น และจากภาวการณ์ขาดสารอาหารอย่างรุนแรงในขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งการติดเชื้ออื่นๆ ด้วย และอีก 20% ไม่ทราบสาเหตุ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก พบว่าภาวะศีรษะเล็กมีความเชื่อมโยงกับเชื้อไวรัสซิกา แต่อาจไม่ได้เป็นเพียงสาเหตุเดียว อาจมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยที่ทำให้เกิดศีรษะเล็ก ทั้งนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและวิจัย ต่อไป

นายแพทย์เจษฎา กล่าวต่อไปว่า สำหรับการติดเชื้อไวรัสซิกาในหญิงตั้งครรภ์ นั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดภาวะทารกศีรษะเล็กในทารกในครรภ์ทุกราย แต่หญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องดูแลสุขภาพให้ดีตลอดการตั้งครรภ์ ฝากครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อย หากมีอาการผิดปกติในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น มีไข้ออกผื่น ให้รีบปรึกษาแพทย์ และไปตรวจพัฒนาการของทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ ป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด และมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัยตลอดการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยโรคติดเชื้อไวรัสซิกายังไม่มีรายงานการติดต่อจากการสัมผัส และไม่สามารถติดต่อทางลมหายใจ (ไม่ติดง่ายเหมือนไข้หวัด) ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องกลัวหรือรังเกียจผู้ป่วยโรคนี้ ที่สำคัญขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบเฝ้าระวังของประเทศไทย และติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ประสานใกล้ชิดกับราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับทารกที่สงสัยภาวะศีรษะเล็กหรือทารกที่เกิดจากมารดาที่สงสัยหรือยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสซิการะหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งควรได้รับการติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยกุมารแพทย์หรือแพทย์ทั่วไป เพื่อติดตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กอย่างสม่ำเสมอในช่วง 2 ปีแรก ถ้าทารกมีความผิดปกติของการมองเห็นหรือการได้ยินให้รีบส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทางให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีรายงานการตรวจพบไวรัสซิกา

ในนมแม่ แต่ไม่เคยมีรายงานการติดเชื้อไวรัสซิกาจากการให้นมลูก จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่าการให้นมของแม่มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสซิกา ดังนั้น แม่ทุกรายที่มีการติดเชื้อไวรัสซิกาขณะตั้งครรภ์สามารถให้นมแม่แก่ทารกได้ ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก

สำหรับวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันคือไม่ให้ยุงกัด โดยเร่งดำเนินการควบคุมลูกน้ำยุงลายให้ลดลง ตามมาตรการ "3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค" ได้แก่ 1.เก็บบ้านให้สะอาด โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง 2.เก็บขยะ เศษภาชนะรอบบ้าน

โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง 3.เก็บน้ำ สำรวจภาชนะใส่น้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิด ป้องกันยุงลายไปวางไข่ เพื่อป้องกัน 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา รวมทั้งการกำจัดและควบคุมยุงตัวแก่ เช่น การพ่นสารเคมีกำจัดยุงลาย และการป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด เช่น ทายากันยุง นอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด กำจัดยุงโดยใช้ไม้ช็อตไฟฟ้า จุดสมุนไพรหรือยาจุดไล่ยุง หรือใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น และขอให้ประชาชนเริ่มต้นดำเนินการที่บ้านของตนเองก่อน จากนั้นขยายไปสู่ชุมชน และสถานที่ส่วนรวม เช่น โรงเรียน วัด และสถานที่ทำงาน เป็นต้น

ส่วนผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกาส่วนใหญ่อาการของโรคไม่รุนแรง และส่วนใหญ่ป่วยแล้วหายได้เอง อาการที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้ ออกผื่น ตาแดง ปวดข้อ จะมีปัญหาเฉพาะกับหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งมีหลักฐานทางระบาดวิทยาที่บ่งชี้ว่าอาจสัมพันธ์กับอาการศีรษะเล็กในทารกแรกเกิด อาการเหล่านี้จะทุเลาลงได้เองภายในเวลา 2-7 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นขอให้ไปพบแพทย์โดยเร็ว ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

HTML::image( HTML::image( HTML::image(