" คูลเจอาร์ม-พิพัฒน์ " เปิดเผยว่า " ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมเคยมีโอกาสไปช่วยออกแบบบ้านผู้ประสบภัยน้ำท่วม และจะต้องออกแบบในพื้นที่โครงการหลวง ชื่อ โครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยทราย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ซึ่งผมเรียนจบคณะสถาปัตย์ เกียรตินิยม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เราก็ไม่เคยคิดว่าสถาปนิกตัวเล็กๆจะได้มีโอกาสเข้าไปพื้นที่ของพระองค์ท่าน ซึ่งที่เราประทับใจคือเรามีโอกาสได้ลงพื้นที่จริง ได้ไปศึกษา ได้ไปพูดคุยกับคนของโครงการ และคนในพื้นที่จริงๆ
ซึ่งคุณลุงท่านหนึ่งได้เล่าว่า สมัยก่อนพื้นที่ตรงห้วยทราย ประกอบไปด้วยป่าและพื้นดินอุดมสมบูรณ์ พอวันหนึ่งมีคนมาอยู่กันเยอะๆ ปลูกสับปะรดกันเยอะๆ ปลูกแล้วก็ขาย ทำแบบนี้หลายรอบ พื้นที่นี้ก็กลายเป็นดินแล้ง ดินแห้ง เหมือนกับดินมันตาย สัตว์ทั้งหลายก็ไม่อยู่ หายกันไปหมด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมาดูมาศึกษา และอย่างที่หลายๆคนทราบกันดี ใครก็ตามที่ทูลเกล้าถวายข้อมูลเชิงลึก ข้อมูลพื้นที่หรือกระทั่งปัญหาที่ประสบพบเจอพระองค์ท่านก็สามารถที่จะจดจำข้อมูลต่างๆได้ทันที โดยไม่ต้องเปิดหนังสือหรือสมุดจด
และแนวพระราชดำริสิ่งพระองค์ท่านมอบให้กับชาวบ้านในสมัยนั้น ก็คือให้ปลูกหญ้า หญ้านั้นก็คือหญ้าแฝกครับ เพราะหญ้าแฝกมีรากลึกยาวประมาณ 3-4 เมตร มันจะทำให้ดินที่เป็นทราย กลับมาร่วนซุย แต่ต้องใช้เวลาปลูกพอสมควรเพื่อให้ดินฟื้นกลับมา แต่ชาวบ้านในสมัยนั้นย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ทุกคนมองว่าปลูกหญ้าทำไม ปลูกแล้วได้อะไร ก็ยังไม่มีใครเชื่อครับ ทุกคนก็พากันย้ายออกจากพื้นที่ห้วยทราย ก็ยิ่งแล้งกันไปใหญ่ แต่มีคุณลุงอยู่คนหนึ่งที่เชื่อในพ่อหลวง เขาก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆมา หลังจากนั้นพื้นที่ของลุงแก่ก็เริ่มที่จะมีความเขียว มีดินที่ร่วนซุยจริงๆ จนเมื่อ5 ปีที่แล้วที่ผมลงพื้นที่ ก็ได้ทราบว่าทุกวันนี้คุณลุงยังคงเดินตามรอยแนวพระราชดำริ ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามพระองค์ท่าน และหลังจากที่พื้นดินมันกลับมาดีเหมือนเดิมแล้ว มันก็สามารถใช้ทำมาหากินอื่นๆได้ อย่างพอประมาณ เช่น สามารถที่จะปลูกข้าว ปลูกพืชผัก ปลูกกล้วย ทำบ่อเลี้ยงปลา ทั้งหมดมันกลายเป็นเศรษฐกิจพอเพียง โดยแต่ละวันไม่ต้องเสียเงินสักบาทและก็สามารถเอาของต่างๆมาแจกจ่ายคนรอบตัว และยังสามารถเหลือที่จะเอาไปขายได้ มีรายได้เดือนละหลายหมื่น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มาจากบุคคลเพียงคนเดียว นั่นก็คือในหลวงที่พระองค์ท่านได้มอบแนวพระราชดำริมา
หลังจากที่เรารู้ข้อมูลเราก็เอามาออกแบบพื้นที่เป็นเหมือนกับห้องประชาสัมพันธ์ ทำเส้นทางการศึกษา ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถที่จะเข้ามาศึกษาข้อมูลตามที่ท่านได้พระราชทานไว้ให้กับพวกเรา ซึ่งผมเชื่อว่าหลักต่างๆเหล่านี้ มันจะอยู่กับเราไปตลอด และผมเชื่อว่าประเทศไทยสามารถยืนยัดได้ด้วยหลักการนี้โดยไม่ต้องไปวิ่งตามกระแสเทคโนโลยีต่างๆ เพียงแค่เรามองหาสิ่งที่มันมีอยู่รอบตัว ที่มีอยู่ในประเทศชาติเรา ผมว่ามันก็ทำให้เราพัฒนากว่าที่อื่นได้ โดยเฉพาะพัฒนาทางด้านจิตใจและชีวิตที่แท้จริงครับ "
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit