การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนและสหภาพยุโรป ครั้งที่ ๒๑

19 Oct 2016
กระทรวงการต่างประเทศ นำโดย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและ นายมีโรสลาฟไลชัก (Miroslav Laj?ák) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและกิจการยุโรปสาธาณรัฐสโลวัก ในฐานะประธานสหภาพยุโรป เป็นประธานร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนและสหภาพยุโรป (ASEAN – EU Ministerial Meeting - AEMM) ครั้งที่ ๒๑ ที่กรุงเทพฯ ภายใต้หัวข้อ "มุ่งสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์"
การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนและสหภาพยุโรป ครั้งที่ ๒๑

อาเซียนและสหภาพยุโรป (อียู) มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกันในปี ๒๕๒๐ โดยการประชุมระดับอาเซียนและสหภาพยุโรปเป็นเวทีระหว่างภูมิภาคที่จัดขึ้นเป็นประจำทุก ๒ ปี โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศจากประเทศสมาชิกอาเซียนและอียู เลขาธิการอาเซียน และผู้แทนระดับสูงด้านนโยบายต่างประทศและความมั่นคงของอียู และรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เข้าร่วม เพื่อหารือแนวทางการเสริมสร้างความสัมพันธ์อาเซียน-อียู และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ทั้งนี้ประเทศสมาชิกอาเซียนจะหมุนเวียนกันเป็นประเทศผู้ประสานความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับอียู ทุกๆ ๓ ปี โดยประเทศไทยได้รับตำแหน่งประเทศผู้ประสานงานฯตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๘

การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนและสหภาพยุโรปครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างอาเซียน-อียูในทุกมิติ เพื่อปูทางไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ตลอดจนวางแนวทางความสัมพันธ์ระหว่างกันในอนาคต โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ และผู้แทนระดับสูงด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของอียู และรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป จะหารือกันในประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจร่วมกันไปด้วย

อาเซียนและอียูเป็นหุ้นส่วนทางธรรมชาติ (natural partners) กล่าวคือ อาเซียนและอียูมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน ๒๒๗ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จำนวน ๑๙.๗ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี๒๕๕๗ มีนักท่องเที่ยวจากประเทศสมาชิกอียูเข้ามาในอาเซียนถึง ๙.๓ ล้านคน นอกจากนี้อียูเป็นคู่ค้าลำดับที่ ๓ ของอาเซียน เป็นผู้ลงทุนลำดับที่ ๑ และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในอาเซียนจำนวนมากที่สุดเป็นลำดับที่ ๒ ของอาเซียน ทั้งสองภูมิภาคมีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะดำเนินนโยบายที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางตลอดจนส่งเสริมธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน และส่งเสริมการเคารพในความแตกต่าง ในฐานะที่เป็นองค์กรระดับภูมิภาคที่มีจุดแข็งอยู่ที่แตกต่างเช่นเดียวกัน

ประเทศไทย ในฐานะประเทศที่มีความสัมพันธ์กับภูมิภาคยุโรปมาอย่างยาวนาน และเป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับอียูในปัจจุบัน ให้ความสำคัญต่อการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนและสหภาพยุโรปครั้งนี้เป็นอย่างมาก ตลอดจนให้ความสำคัญกับการสร้าง momentum ให้กับความร่วมมืออาเซียน-อียูเพื่อให้มุ่งไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-อียู ในปี ๒๕๖๐

การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนและสหภาพยุโรป ครั้งที่ ๒๑ มุ่งให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุดจากการประชุมครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงคนพิการ ด้วยเหตุนี้ จึงจะมีการแปลพิธีเปิดการประชุมฯ เป็นภาษามือทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดทำเอกสารผลลัพธ์การประชุมในรูปแบบอักษรเบรลล์และรูปแบบอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย

โดย นายมิโรสลาฟไลชัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและกิจการยุโรปสาธาณรัฐสโลวักกล่าวถึงการประชุมครั้งนี้ว่า "ในขณะนี้อียูอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ทั้งเรื่องการถอนตัวออกจากอียูของประเทศอังกฤษ หรือเบร็กซิท รวมไปถึงความพยายามสร้างข้อตกลงความร่วมมือทางกลาโหมภายในอียู โดยหวังว่า ทั้งอาเซียนและอียู จะมีการรวมกันเป็นปึกแผ่นภายในแต่ละภูมิภาคมากขึ้นเพื่อให้มีข้อตกลงระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับอียูในอนาคต

นอกจากนี้ ทั้งสองภูมิภาคควรมีความร่วมมือกันมากขึ้นทั้งในด้านภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว และด้านความมั่นคง เพื่อเชื่อมต่อพลเรือนระหว่างกันมากขึ้น นอกจากนี้ทั้งสองภูมิภาคควรส่งเสริมธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน และส่งเสริมการเคารพในความแตกต่าง ในฐานะที่เป็นองค์กรระดับภูมิภาคที่มีจุดแข็งอยู่ที่ความแตกต่างเช่นเดียวกัน" นายมิโรสลาฟไลชัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและกิจการยุโรปสาธาณรัฐสโลวัก กล่าวทิ้งท้าย

HTML::image( HTML::image( HTML::image(