นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ว่า ฝนที่ตกหนัก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 ถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดอุทกภัย วาตภัย น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยมีจังหวัดได้รับผลกระทบ 12 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร ระนอง กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ รวม 117 อำเภอ 700 ตำบล 5,145 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 394,509 ครัวเรือน 1,188,871 คน ผู้เสียชีวิต 31 ราย สูญหาย 2 ราย สถานที่ราชการเสียหาย 17 แห่ง ถนน 592 จุด คอสะพาน 106 แห่ง ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว 2 จังหวัด ได้แก่ ยะลา และระนอง ยังคงมีสถานการณ์ใน 10 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง นราธิวาส สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ รวม 94 อำเภอ 579 ตำบล 4,073 หมู่บ้าน โดยจังหวัดพัทลุง น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองพัทลุง อำเภอควนขนุน อำเภอปากพะยูน อำเภอเขาชัยสน และอำเภอบางแก้วรวม 36 ตำบล 350 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 27,274 ครัวเรือน 64,018 คน ผู้เสียชีวิต 5 ราย นราธิวาส น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่13 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนราธิวาส อำเภอระแงะ อำเภอรือเสาะ อำเภอศรีสาคร อำเภอแว้ง อำเภอสุคิริน อำเภอสุไหงโก – ลก อำเภอสุไหงปาดี อำเภอจะแนะ อำเภอเจาะไอร้อง อำเภอยี่งอ อำเภอตากใบ และอำเภอบาเจาะ รวม 75 ตำบล 496 หมู่บ้าน 3 เทศบาล 35 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 33,420 ครัวเรือน 131,182 คน ผู้เสียชีวิต 3 ราย สงขลา น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอควนเนียง อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสิงหนคร อำเภอสทิงพระ และอำเภอระโนด รวม 25 ตำบล 154 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 8,880 ครัวเรือน 26,715 คน อพยพ 15 ครัวเรือน ผู้เสียชีวิต 2 ราย ปัตตานี น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 9 อำเภอ ได้แก่ อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอยะรัง อำเภอกะพ้อ อำเภอหนองจิก อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอสายบุรี อำเภอแม่ลาน อำเภอไม้แก่น และอำเภอทุ่งยางแดง รวม 50 ตำบล 202 หมู่บ้าน11 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 9,191 ครัวเรือน 22,012 คน ตรัง น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองตรัง อำเภอห้วยยอด อำเภอวังวิเศษ และอำเภอกันตัง รวม 29 ตำบล 7 เทศบาล 217 หมู่บ้าน 16 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 8,959 ครัวเรือน 32,226 คน ผู้เสียชีวิต 2 คน สุราษฎร์ธานี น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 17 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอบ้านนาสาร อำเภอดอนสัก อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอท่าชนะ อำเภอเกาะสมุย อำเภอไชยา อำเภอบ้านนาเดิม อำเภอชัยบุรี อำเภอเกาะพะงัน อำเภอท่าฉาง อำเภอพระแสง อำเภอวิภาวดี อำเภอเวียงสระ อำเภอพนม อำเภอพุนพิน และอำเภอเคียนซา รวม 97 ตำบล 700 หมู่บ้าน 25 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 79,125 ครัวเรือน 230,981 คน ผู้เสียชีวิต 6 ราย นครศรีธรรมราช น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 23 อำเภอ ได้แก่ อำเภอชะอวด อำเภอทุ่งสง อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอท่าศาลา อำเภอสิชล อำเภอนาบอน อำเภอพิปูน อำเภอช้างกลาง อำเภอฉวาง อำเภอนบพิตำ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอพระพรหม อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอขนอม อำเภอพรหมคีรี อำเภอลานสกา อำเภอบางขัน อำเภอปากพนัง อำเภอถ้ำพรรณรา อำเภอทุ่งใหญ่ อำเภอหัวไทร และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ รวม 154 ตำบล 1,278 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 134,080 ครัวเรือน 409,130 คน ผู้เสียชีวิต 9 ราย ชุมพร น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอทุ่งตะโก อำเภอพะโต๊ะ อำเภอหลังสวน อำเภอละแม อำเภอสวี อำเภอเมืองชุมพร อำเภอปะทิว และอำเภอท่าแซะ รวม 59 ตำบล 531 หมู่บ้าน 1 เทศบาล 17 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 14,709 ครัวเรือน 47,704 คน กระบี่ น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเขาพนม อำเภออ่าวลึก อำเภอปลายพระยา และอำเภอเกาะลันตา รวม 24 ตำบล 64 หมู่บ้าน 1 เทศบาล 2 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 97 ครัวเรือน ผู้เสียชีวิต 2 ราย และประจวบคีรีขันธ์ น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ อำเภอบางสะพาน อำเภอทับสะแกและอำเภอบางสะพานน้อย รวม 18 ตำบล 81 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 37,538ครัวเรือน โดยในภาพรวมสถานการณ์ในปัจจุบันยังมีฝนตกในพื้นที่ ระดับน้ำทรงตัวและระดับน้ำลดลงในบางพื้นที่ ทั้งนี้ ปภ. ได้ร่วมกับหน่วยทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมสรรพกำลังและทรัพยากรปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น อีกทั้งจัดเจ้าหน้าที่ พร้อมรถบรรทุกขนาดใหญ่ เรือท้องแบนอำนวยความสะดวกในการสัญจรแก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ตลอดจนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบและสำรวจความเสียหาย เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังฯรวมถึงดำเนินการซ่อมแซมถนนและสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหายให้สามารถใช้งานได้ตามปกติโดยเร็วอย่างไรก็ตามจากการติดตามสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่าบริเวณภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมามีฝนตกสะสม ส่งผลให้พื้นดินชุ่มน้ำ จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย ดินไหลและดินถล่ม ส่วนภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนเล็กน้อยถึงปานกลาง ปภ. จึงได้ประสานจังหวัดภาคใต้แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยบริเวณที่ลาดเชิงเขาที่ราบต่ำริมน้ำไหลผ่านริมชายฝั่งทะเล และพื้นที่เสี่ยงภัยระมัดระวังอันตรายจากภาวะฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่า ไหลหลาก และดินโคลนถล่ม พร้อมจัดเจ้าหน้าที่และมิสเตอร์เตือนภัยติดตามสภาพอากาศและเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยอย่างใกล้ชิด รวมถึงจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักรกลด้านสาธารณภัยประจำพื้นที่เสี่ยงให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันทีที่เกิดสถานการณ์ภัย สำหรับผู้ประกอบการทางน้ำและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีก 1 วัน ท้ายนี้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยสามารถติดต่อได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit