นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ สำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา มีช่วงราคาเสนอขายที่หุ้นละ 4.30 – 4.50 บาท โดยพบว่ามีนักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 4.50 บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของธุรกิจและแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ดังนั้น จึงได้กำหนดราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 4.50 บาท โดยจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 14-16 ธันวาคมนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรก ในวันที่ 23 ธันวาคม 2559
ทั้งนี้ บมจ.อาฟเตอร์ ยู จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และเสนอขายให้แก่ กรรมการ ผู้บริหารและ/หรือพนักงานของบริษัทฯ รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 165 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 22.8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ปัจจุบัน บมจ.อาฟเตอร์ ยู มีทุนจดทะเบียน 72.5 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 725 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.10บาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้ว มีจำนวน 56 ล้านบาท
ส่วนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนนั้น ได้แบ่งการจัดสรรเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.การจัดสรรเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 161.5 ล้านหุ้น 2.เสนอขายให้แก่กรรมการบริษัทฯ จำนวน 1.5 ล้านหุ้น และ 3.เสนอขายให้แก่ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานบริษัทฯ จำนวน 2 ล้านหุ้น ซึ่งในกรณีที่มีหุ้นสามัญที่เหลือจากการเสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานบริษัทฯ นั้น จะจัดสรรเพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนภายใต้ดุลยพินิจของ บมจ.อาฟเตอร์ ยู และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายต่อไป โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ขยายสาขาร้าน อาฟเตอร์ ยู ใช้ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรในโรงงานเพิ่มขึ้นและก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมพนักงาน ศูนย์กระจายสินค้า ตลอดจนนำไปชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง กล่าวว่า สำหรับการเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรก ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ.อาฟเตอร์ ยู อาจจะเสนอขายหุ้นสามัญเดิมที่ตนถืออยู่ต่อบุคคลในวงจำกัด จำนวนไม่เกิน 50 ราย จำนวน 52.5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 7% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ในราคา IPO ซึ่งการที่ผู้ถือหุ้นเดิมนำหุ้นของตนเองมาขายในวันแรกของการเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ แทนการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน เนื่องจากมีเป้าหมายต้องการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นในกระดานและยังสะท้อนมุมมองของนักลงทุนที่ต้องการเข้าถือหุ้น บมจ.อาฟเตอร์ ยู ในระยะยาว เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจและมีศักยภาพการเติบโตได้อีกมาก ขณะเดียวกันยังจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ไม่ปรับลดลงซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในอนาคตอีกด้วย
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค. - ก.ย. 59 ) ของ บมจ.อาฟเตอร์ ยู ถือว่ามีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่น โดยมีรายได้รวม 440.9 ล้านบาท เติบโต 54.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 286.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.6% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 37.2 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยมาจากยอดขายสาขาเดิมที่เติบโตขึ้นจากความนิยมในเมนูน้ำแข็งไสคากิโกริ การออกเมนูใหม่และเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น
นายแม่ทัพ ต.สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อาฟเตอร์ ยู กล่าวว่า บริษัทฯ แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 2 ส่วน คือ1.ธุรกิจร้านขนมหวานภายใต้เครื่องหมายการค้า 'อาฟเตอร์ ยู' และ 'เมโกริ' ซึ่งเป็นร้านน้ำแข็งไสที่เหมาะกับประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อน โดย ณ วันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ร้านอาฟเตอร์ ยู มีจำนวน 18 สาขา และเมโกริ มีจำนวน 2 สาขา และ 2. ธุรกิจรับบริการจัดงานนอกสถานที่และรับจ้างผลิต อาทิ งานสังสรรค์ งานแต่งงาน การรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่สายการบินหรือร้านอาหารภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้วางแผนขยายธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจขนมหวานและ เบเกอรี่ครบวงจร ได้แก่ การขยายสาขาร้านขนมหวานในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด เพิ่มขึ้นเป็น 30 สาขาภายในปี 2561 รวมถึงจะขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีแผนก่อสร้างสำนักงานใหม่ สถานที่ฝึกอบรมพนักงานและศูนย์กระจายสินค้า ตลอดจนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต พร้อมวางแผนลดต้นทุนการผลิตโดยลงทุนเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ในการผลิตภายในโรงงานเพิ่มเติมรวมถึงปรับระบบการเช่าพื้นที่ขยายสาขา จากการเช่าแบบระยะสั้นเป็นระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัตราการทำกำไรในอนาคต
ด้านนางสาวกุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.อาฟเตอร์ ยู กล่าวว่า จากความชื่นชอบในการทำขนมหวานและเริ่มสั่งสมประสบการณ์จากการลงมือทำสู่การพัฒนาธุรกิจร้านขนมหวานภายใต้ชื่อร้านอาฟเตอร์ ยู โดยเปิดสาขาแรกที่เจ อเวนิว ซอยทองหล่อ 13 เพื่อจำหน่ายของหวานที่ปรุงสดเสิร์ฟคู่กับไอศกรีม ที่สร้างความแตกต่างจากร้านขนมหวานทั่วไป ทำให้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็วภายในระยเวลาเพียง 2 เดือนหลังจากที่เปิดให้บริการ
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจกว่า 9 ปี บริษัทฯ ได้มุ่งเน้นสร้างความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์และบริการจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ทั้งการให้ความสำคัญกับรสชาติผลิตภัณฑ์ การสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง การให้บริการสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคเพื่อให้เกิดการบอกต่อ การรักษาและขยายฐานลูกค้าใหม่ การคัดเลือกทำเลที่ตั้ง ตลอดจนการทำตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งปัจจุบัน 'อาฟเตอร์ ยู' มีเมนูของหวานและเครื่องดื่มให้บริการกว่า 100 รายการ รวมถึงมีการจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก โดยมีเมนูที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภค อาทิ กลุ่มฮันนี่โทส ช็อกโกแลตลาวา คากิโกริ จึงเป็นปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ร้านอาฟเตอร์ ยู เป็นร้านขนมหวานในใจผู้บริโภคทุกช่วงอายุตั้งแต่เด็กนักเรียน ผู้ใหญ่จนถึงผู้สูงอายุ