KTAMเฟ้นหากองทุนโอกาสรับยิลด์สูงกว่าตราสารหนี้ ขายKT-PIFลงทุนอสังหา-อินฟราฟันด์ปันผลสม่ำเสมอ

11 Jul 2016
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยพร็อพเพอร์ตี้ อินคัม ฟันด์ ( KT-PIF) ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ รีทส์ รวมถึงกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และเปิดโอกาสให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยกองทุนสามารถลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะมีการจำกัดการลงทุนในต่างประเทศให้ไม่เกิน 79% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยในช่วงแรก กองทุนจะเน้นการลงทุนในประเทศไทยเป็นหลัก

ทั้งนี้ สาเหตุที่กองทุน KT-PIF มีความน่าสนใจเนื่องจาก ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ ซึ่งหากพิจารณาจากผลตอบแทนเงินปันผล จากสถิติย้อนหลัง 6 ปี ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เท่ากับ 6% มากกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี นับจากพ.ค.2010-พ.ค.2016 ซึ่งได้ผลตอบแทน 3.32% ประกอบกับดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มทรงตัวไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น ผลตอบแทนของตราสารหนี้ ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และปริมาณตราสารหนี้ออกใหม่ มีไม่เพียงพอกับความต้องการลงทุน จึงกดให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับต่ำต่อไป

นอกจากนี้ การลงทุนในกกองทุน KT-PIF ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนเกินของมูลค่าหุ้น ซึ่งราคาของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, รีทส์ และหน่วยลงทุนของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นจากมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นจากการประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต

จากสถิติย้อนหลัง 6 ปี พบว่าการลงทุนในกองทุนอสังหาฯ รีทส์ และกองทุนโครงสร้างมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้น โดยกองทุนและกองทรัสต์มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานย้อนหลังของราคาอยู่ที่ 6.7% ต่อปี เมื่อเทียบกับหุ้นซึ่งอยู่ที่ 16.2%ต่อปี ทำให้การลงทุนในกองทุนอสังหาฯและกองทรัสต์ฯมีความน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง

สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ อาจพิจารณาลงทุนในกองทุนรีทส์ ของประเทศสิงคโปร์ เนื่องจาก สามารถสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีได้ ซึ่งรีทส์ในสิงคโปร์มีการจ่ายเงินปันผลมากกว่าไทยเล็กน้อย รวมถึงมีสภาพคล่องมากกว่าของไทย แต่อย่างไรก็ตาม ความผันผวนทางด้านราคามากกว่าของไทย โดยมีค่าส่วนเบี่ยนเบนมาตรฐานของราคาที่ 11.3%ต่อปี

มุมมองการลงทุนในสิงคโปร์ เศรษฐกิจในประเทศและการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยอาคารสำนักงาน มีอัตราค่าเช่าที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกับฮ่องกง ซึ่งสามารถดึงดูดสำนักงานใหม่ๆที่จะมาเปิดในภูมิภาค และอาคารสำนักงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ห้างสรรพสินค้า มีการปิดซ่อมบำรุงห้างสรรพสินค้าเก่า เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขึ้นค่าเช่าในอนาคต และห้างสรรพสินค้าใหม่ที่จะเข้ามาส่วนใหญ่มีผู้เช่าจองไว้แล้ว นิคมอุตสาหกรรม มีการปรับปรุงสินทรัพย์เก่าเพื่อให้เข้ากับผู้เช่าใหม่ และขึ้นค่าเช่าได้มากขึ้น และมีโรงงานใหม่ๆที่จะเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น ด้านโรงแรม คณะกรรมการ การท่องเที่ยวของสิงคโปร์ คาดการณ์นักท่องเที่ยวเติบโต 3% ในปี 2016 และอัตราการเข้าพัก ในโรงแรมขยับตัวขึ้นโดยราคาค่าเช่าต่อห้องไม่ได้ลดลง

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า กองทุนจะลงทุนในกองทุน CPNRF , DIF , IMPACT , SPF และ BTSGIF เป็นต้น ส่วนกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของสิงคโปร์ อาจจะพิจารณาลงทุนใน AREIT ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรม และ ART เป็นโรงแรม โดยการลงทุนในต่างประเทศจะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามสภาวการณ์ของตลาด หรือเมื่อบริษัทเห็นสมควร

นางชวินดา กล่าวถึง การลงทุนในครึ่งปีหลัง ว่า ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยุโรปหลังจากที่อังกฤษลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ทำให้ธนาคารกลางในยุโรปและญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม และมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะชะลอการปรับอัตราดอกเบี้ยออกไป ซึ่งจะส่งผลให้สภาพคล่องมีแนวโน้มเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นและทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานซึ่งยังคงมีอัตราเงินปันผลที่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล

ดังนั้น กองทุน KT- PIF เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ และเป็นการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนทุกท่านได้