นายสันติพงศ์กล่าวว่าเมื่อมองด้านการพัฒนา ประเทศไทยนำหน้ากลุ่ม CLMV ในหลายด้าน โดยเฉพาะกัมพูชา ลาว และพม่า ซึ่งเพิ่งเปิดประเทศจริงได้ไม่นาน ส่วนเวียดนามนั้นเปิดประเทศก่อนแล้วเกือบ 20 ปี หากโฟกัสที่ CLM ถือว่าประเทศไทยได้เปรียบประเทศในกลุ่ม AEC อื่น ๆ อยู่มาก เนื่องจากมีชายแดนติดกัน และมีความคล้ายคลึงกันทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศาสนา เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่นสิงคโปร์หรือบรูไน อีกทั้งต้นทุนทางการขนส่งหรือโลจิสติกส์ก็ต่ำกว่าเพราะอยู่ใกล้กัน นอกจากนี้จากการสำรวจความนิยมในสินค้าและบริการจากไทยยังพบว่าได้รับการยอมรับสูงกว่าจากฝั่งอเมริกา ยุโรป หรือประเทศในเอเชียอื่น ๆ อีกด้วย
"ในการเข้าไปเปิดตลาดนอกประเทศนั้นต้องเตรียมพร้อมที่จะรับความแตกต่างจากการทำธุรกิจในบ้านเรา ดังนั้นขอให้มีPassion หรือความอยากที่จะทำอย่างจริงจัง มองปัญหาให้เป็นความท้าทาย และรีบลงมือดำเนินการได้แล้ว เรื่องเงินอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด เพราะต้นทุนในการทำตลาด CLMV ยังไม่สูงมาก เชื่อว่าหากทำธุรกิจในไทยได้ก็สามารถขยายออกไปสู่ประเทศเหล่านี้ได้ไม่ยาก เพราะการแข่งขันของเขายังน้อยกว่าเรา และคนก็ยอมรับในคุณภาพและภาพลักษณ์ของสินค้าจากประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่น ๆ อีกทั้งมีการค้าชายแดนร่วมกันมาหลายสิบปี ถือว่าเรามีต้นทุนทางการค้าที่ดีกว่า"
"สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องรู้คือต้องรู้เขารู้เรา ต้องมีการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในเชิงลึก เพราะในความเหมือนก็มีความแตกต่าง เช่นในเรื่องของการใช้สื่อออนไลน์ อย่างไทยเราเองส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่ LINE และ Facebook ส่วนที่ลาวนั้นใช้ WeChatเป็นส่วนใหญ่ เพราะได้รับอิทธิพลจากจีนที่เข้ามาทำโครงการรถไฟความเร็วสูง ส่วนพม่าจะใช้ Viber เป็นหลัก เป็นประเทศที่ทาง Viber เองให้ความสำคัญอย่างสูงเพราะมีผู้ใช้เป็นอันดับสองของโลก อีกทั้งยังใช้ Smartphone มากกว่า Feature Phoneและสำหรับกัมพูชา Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่เป็นแทบทุกอย่าง รวมถึงเป็นแหล่งค้นหาข้อมูล ซึ่งผู้ประกอบการอาจไม่มีการเปิดเว็บไซต์ แต่ต้องมี Facebook Fan Page ส่วนที่เวียดนาม ใช้หลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, Facebook Messengerรวมถึง Zalo ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นแชตของเวียดนามเอง"
นายสันติพงศ์ยังกล่าวถึง 3 ธุรกิจที่มีโอกาสสูงและเป็นที่ต้องการอย่างมากใน CLMV โดยเฉพาะกัมพูชา ลาว และพม่า ได้แก่ อันดับ 1 ธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้าง เช่น การออกแบบ วัสดุก่อสร้าง การก่อสร้างอาคารหรือ Community Mall เนื่องจากมีความต้องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับการเปิดประเทศ อันดับ 2 ได้แก่ธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เพราะเมื่อเปิดประเทศแล้วคนของเขาก็อยากเห็นโลกภายนอก ธุรกิจที่มีโอกาสอย่างมากก็เช่นบริษัทที่ให้บริการด้านท่องเที่ยวในและต่างประเทศ รับจองตั๋วเครื่องบิน ร้านอาหาร โรงแรม ฯลฯ และอันดับ 3 คือธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (Fast Moving Consumer Goods) หรือของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า เพราะแม้จะมีฐานการผลิตในประเทศแต่ส่วนใหญ่เน้นผลิตเพื่อส่งออก
ส่วนที่เวียดนาม ธุรกิจที่ต้องการมากอันดับ 1 คือสินค้าที่ช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ซอฟต์แวร์ สินค้าเทคโนโลยีต่าง ๆ อันดับ 2 คือสินค้าด้านสุขภาพ เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ ฟิตเนส อันดับ 3 คือธุรกิจด้านการศึกษา เช่น โรงเรียนสอนภาษา ศิลปะ ดนตรี หรือทริปการศึกษาต่างประเทศ
นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรทราบเรื่องของระบบการเงินและการซื้อขายของแต่ละประเทศ เพราะแต่ละประเทศมีข้อจำกัดแตกต่างกันไป เช่นที่พม่ามีข้อจำกัดเรื่องการโอนเงินระหว่างประเทศ และใช้สกุลเงินของพม่าเองเป็นหลัก หรือเวียดนามที่ใช้เงินดองเท่านั้น เป็นต้น
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit