นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์(SCBS) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น (upside) ได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET INDEX) จะปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1550 -1600 จุด ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้มาจากการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในช่วงไตรมาสแรกที่สูงกว่าคาด และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคต ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยว และการลงทุนภาครัฐจะช่วยกระตุ้นแรงส่งทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มจะเร่งตัวขึ้นเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่ฟื้นตัวทั้งจากคุณภาพผลผลิตและราคาที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ดัชนีจะปรับตัวดีขึ้นแต่การเคลื่อนไหวของตลาดยังเป็นแบบ Sideways ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศที่ยังคงอยู่โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากกลุ่มยูโรโซน ตลอดจนตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน
"ผลการลงประชามติให้ประเทศอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิท) เป็นการส่งสัญญาณถึงแรงกดดันระยะยาวต่อการค้าทั่วโลก เนื่องจากการค้าทั่วโลกอาจจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากความเป็นชาตินิยม อนุรักษ์นิยม และการกีดกันทางการค้ามากขึ้น อีกทั้งมีสัญญาณว่าประเทศสมาชิกอื่นๆ ของสหภาพยุโรป (อียู) กำลังเริ่มคิดที่จะทำประชามติถอนตัวออกจากอียูเช่นกัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับนักลงทุนในระยะต่อไป ดังนั้นแล้วตลาดหุ้นไทยจะต้องโฟกัสที่อุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก แม้ว่าจะไม่สามารถชดเชยกับการส่งออกที่ลดลง แต่เป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตเพียงอย่างเดียวที่จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ความวุ่นวายทั่วโลก อีกทั้งในขณะนี้มีสัญญาณที่รายได้ภาคเกษตรกรจะฟื้นตัวส่งผลต่อกำลังซื้อของครัวเรือนในอนาคต"
นายอิสระ กล่าวด้วยว่า ตลาดหลักทรัพย์ไทยจะยังคงซื้อขายหุ้นที่ระดับพรีเมี่ยมต่อไป เนื่องด้วย SET เป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค และมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE) ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าแกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 14.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10ปี นอกจากนี้กำไรที่ลดลงมากในปีที่ผ่านมาสร้างฐานที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยให้กำไรเติบโตขึ้นอย่างมากในปี 2559 และปี 2560 โดยจะทำให้อัตราส่วน PE ต่ออัตราการเติบโตของกำไรของ SET น่าดึงดูดในเชิงเปรียบเทียบมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ประกอบกับการเติบโตด้วยอุปสงค์ภายในประเทศจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพที่แข็งแกร่งขึ้น รับมือจากสถานการณ์ความวุ่นวายทั่วโลกได้ดี ดังนั้นนักลงทุนต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้ถูกอีกต่อไป
สำหรับหุ้น Top Picks ประจำไตรมาส 3/2559 แนะนำหุ้นที่อ้างอิงการเติบโตของอุปสงค์ในประเทศ โดยได้รับปัจจัยกระตุ้นจากรายได้เกษตรกรที่ดีขึ้น การเติบโตของค่าจ้าง และการเคลื่อนย้ายกำลังแรงงานมายังกลุ่มที่จ่ายค่าจ้างสูงขึ้น ประกอบด้วย
บมจ. อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) (AEONTS) สินเชื่อจะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 7% ในปี 2558 สู่ 8%ในปี 2559 และ 10% ในปี 2560 ต้นทุนเงินทุนจะลดลงเพราะได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น ดังนั้นตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากบริษัทย่อยใน CLMV สู่ 10% ภายในปี 2563
บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) หุ้น laggard play ในกลุ่มพาณิชย์ ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย รายได้เกษตรกรที่ดีขึ้น และการแข่งขันกีฬาระดับโลก คาดกำไรเติบโต 20% ในปี 2559
บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ราคาหุ้นที่ปรับลดลงในระยะหลังนี้เปิดโอกาสให้เข้าซื้อ ตลาดกังวลเกี่ยวกับเบร็กซิท และต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น (เก็บสต็อกล่วงหน้า 6 เดือน) มากเกินไป
บมจ. สยามโกบอลเอาส์ (GLOBAL) จะรายงานกำไรเติบโตสูงสุดในกลุ่มพาณิชย์ในปี 2559 และปี 2560โดยได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและแนวโน้มรายได้เกษตรกรที่ดีขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นสู่18.6%
บมจ. ซี.พี.เอส. แมชีน กรุ๊ป โฮลดิ้ง (PCSGH) อุปสงค์รถยนต์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นบ่งชี้ว่าตลาดรถยนต์ในประเทศอยู่ในช่วงปลายของขาลงแล้ว ความเสี่ยง/ผลตอบแทนดูน่าสนใจด้วย upside 32% สู่ราคาเป้าหมาย และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 5 - 6% ในปี 2559 - 2560
บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) วัฏจักรขาขึ้นของอุปสงค์รถยนต์ในประเทศส่งสัญญาณว่าการผลิตรถยนต์จะเติบโต 7% และกำไรจะเติบโต 27% ในปี 2560 ราคาหุ้นปัจจุบันให้ upside 36% สู่ราคาเป้าหมายกลางปี 2560 และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 5%
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit